ป.ปยุตโต บอกว่าจริงๆแล้วงานกับมันไม่ใช่คนละพวก มันเป็นพวกเดียวกันได้ โดยธรมมชาติงานและความสุขเนี่ยมันมาด้วยกัน งานมาได้ทั้งความทุกข์และความสุข อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติผิดหรือปฏิบัติถูก ถ้าปฏิบัติถูกงานก็จะมีความสุข ถ้าปฏิบัติผิดงานก็จะมีความทุกข์
ตัวอย่าง
เราเรียกการทำสวนว่างานชนิดหนึ่ง คนที่จะทำสวนก็ต้องมีจุกมุ่งหมายว่า จะทำสวนทำไม งานคือการทำสวนนั้นเกิดจากมีความมุ่งหมายก่อน ความมุ่งหมายคืออะไร คือต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงามไง เราต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงาม เราจึงไปทำสวน
ไม่ต้องรอให้ถึงถึงจุดมุ่งหมายหรอก แม้กระทั่งระหว่างนั้นถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี งานเดินคืบหน้าไปสู้จุดมุ่งหมาย ไกล้เข้าไปๆ เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ มีความสุขไปเรื่อย
แต่จริงๆนะคนเรานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน คือเวลาเราทำงานไปๆบางทีก็ลืมสนิทเลยว่าเราไม่ได้ดำเนินชิวิตไปตามกฏธรรมชาติคือถ้างานเราไม่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวงานนั้น ผลที่ได้รับก็ย่อมไม่เป็นความต้องการ ตอนนี้แหละจะเกิดเรื่องที่เป็นปัญหาขึ้น
พูดถึงระบบความสัมพันธืในสังคมที่ซับซ้อน ก็จะมีความก้าวหน้าอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ การสมมติ
เอาละยกตัวอย่างเรื่องการทำสวนอีกที
ลที่ที่แท้ของการทำสวนก็คือได้ต้นไม่ที่เจริญงอกงามแล้วเราก็มีความสุข เพราะมันเป็นไปตามประสงค์ของเราแล้ว แต่ในโลกปัจจุบันนี่สิ มนุษย์พอเจริญขึ้น ก็สร้างระบบทางสังคม ในระบบนี้ มีสิ่งสมมุติเกิดขึ้น สมุมติยังไง ตัวอย่างทำสวนต่อ
ทำสวนเป็นงานชนิดหนึ่งในสังคม เมื่อทำไปแล้วจะได้รับผลตอบแทน คือ เงิน
ทำไห้มองเห็นว่าการได้เงินเป็นผลของการทำสวน มองดีจะเห็นว่ามีผลเกิดขึ้นมาซ้อนกันตั้งสองชั้น
มหายความว่าผลของงานทำสวนนั้นมีสองอย่าง
ผลที่1 ได้ต้นไม้เจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลตามธรรมชาติ
แต่คราวนี้มีผลอีกอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นมาคือผลทมี่มนุษย์สมมุติขึ้น โดยบัญัติจัดตั้งวา
เป็นระบบขึ้นว่าทำสวนแล้วได้เงิน เหตุคือการทำสวน แต่ผลที่ต้องการได้คือเงิน
คนทำสวนอาจทำสวนโดยไม่ต้องการผลตามธรรมชาติ เขาอาจจะทำสวนเพราะต้องการเงิน ซึ่งเป็นผลตามบัญญัติสมมุติ
เราต้องรู้เท่าทันว่าผลสมมุตินี้ ไม่เป็นจริงตามธรรมชาติ จริงไหมที่ว่า ทำสวนเป็นเหตุแล้วได้เงินเป็นผล จริง แต่เป็นจริงตมาความสมมุติของมนุษย์ ไม่มีความจริงแท้อยู่ในธรรมชาติของตัวเอง
คำว่าสมมุติ คือการตกลงร่วมกัน คุณไปสวนไห้ฉันนะเดี๋ยวฉันไห้เงินเดือนละ4000บาท เมื่อตกลงกันอย่างนี้ก็เกิดเป็นกฏเกณฑ์ขึ้นมา กฏเกณฑ์ของมนุษย์เนี่ยมันไม่เป็นจริงไปตามธรรมชาติขึ้นอยู่กับการสมมุติหรือตกลง ถ้าการตกลงหายไป กฏนี้ก็หมดความหมายไปด้วย
ถ้าเราไปทำสวนแล้วเขาไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ สมมุติหายไป กฏเกณฑ์แบบไม่เป็นความจริงนี้ทำเหตุเสียแล้วผลก็ไม่เกิด ทำสวนไปแล้วเงินไม่มา กฏถูกยกเลิกไปแล้ว ฝ่ายที่จะไงนก็ไม่ไห้กฏสมมุตินี้จึงไม่เป็นความจริงแท้ เพราะเป็นของที่มนุษย์ตกลงกันขึ้นมาซ้อนผลที่แท้จริงของธรรมชาติอีกทีนึง
กฏธรรมชาตินี่แน่นอน มนุษย์ยกเลิกไม่ได้และก็หลอกมันไม่ได้ด้วย ส่วนกฏมนุษย์ที่สมมุติกันนี้ มนุษย์เองยกเลิกได้ และหลอกกันได้ด้วย มันจึงยุ่ง และก็จะมีผลต่อความสุขความทุกข์ของเรา ชนิดที่เรียกว่าซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิงเลยทีเดียว และถ้าจับไม่ถูกจุดละก็จะสับสนนุงนังไปหมดทั้งตัวคนและสังคม
ถ้าเราดำเนิชีวิตไปตามกฏของธรรมชาติ เราก็จะได้ความสุขตลอดเวลา เพราะว่าการกระทำของเรานั้น เป็นเหตุนำมาซึ่งผลโดยตรง ทำสวนไป เห็นต้นไม่เจริญงอกงามก็มีความสุขพร้อมไปด้วย
Friday, June 5, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment