ศิริพร มณีชูเกตุ. 2550. วาทศิลป์กับภาพลักษณ์ของตัวละครเกาหลีเรื่องซอดองโย.
วารสารมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปีที่ 4 ฉบับพิเศษ(กันยายน-ธันวาคม2550).
หน้า 9-32.
วาทศิลป์กับภาพลักษณ์ของตัวละครเกาหลีเรื่องซอดองโย
(The rhetoric and characters’ image in the Korean series, Soe Dong Yo)
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์วาทศิลป์กับภาพลักษณ์ของตัวละครเกาหลีเรื่องซอดองโย โดยวิเคราะห์วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ของตัวละครเอกชื่อ “จาง” ดังนี้ 1. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความเฉลียวฉลาด 2. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านอุดมการณ์ และความมุ่งมั่น 3. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านคุณธรรมสูงส่ง 4.วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงในรัก นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ศึกษาความเห็นด้วยของถ้อยคำที่มีวาทศิลป์ในบทสนทนาของตัวละคร โดยการใช้แบบสอบถาม ถามกลุ่มคนที่ชมละครกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละคร จากการศึกษาพบว่ามีบทสนทนา 4 บทสนทนาที่กลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่มมีความเห็นด้วยไปในทิศทางเดียวกัน และ 4 บทสนทนา ที่ความเห็นด้วยที่แตกต่างกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการมีภาพลักษณ์หรือไม่มีภาพลักษณ์ของตัวละครมีส่วนทำให้กลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่ม มีความเห็นด้วยของถ้อยคำแตกต่างกัน
Abstract
The purpose of this article was to analyze the rhetoric and image of the characters in the Korean series, Soe Dong Yo. The rhetoric showing the image of the main character, Jang, was analyzed. Firstly, the rhetoric shows the image of intelligence. Secondly, the rhetoric shows the image of ideology and intention. Thirdly, the rhetoric shows the image of high moral. Finally, the rhetoric shows the image of persistence in love. Furthermore, the author studied the agreement of the rhetoric in characters’ dialogues. A questionnaire was used to inquire the viewers and non-viewers of the series. The study found that there were 4 dialogues that both viewers and non-viewers had the same conclusions and there were 4 dialogues that the viewers and non-viewers had the different conclusions . This is probably because having or not having the characters’ image makes both viewers and non-viewers have different agreement.
บทนำ
ในการดำเนินชีวิต มนุษย์ต่างดำเนินชีวิตและการทำงานด้วยการมีคติพจน์, พุทธดำรัส, พระบรมราโชวาทหรือวาทะปรัชญาเมธี มานำใจ ถ้อยคำนำใจต่างๆที่นำมายึดถือปฏิบัตินี้ แน่นอนว่าย่อมนำมาจากผู้ที่เรานับถือศรัทธา และส่วนหนึ่งในการสร้างศรัทธาความน่าเชื่อถือหรือความประทับใจก็คือการอาศัยวาทศิลป์ ดังนั้นจะเห็นว่าระดับบุคคลไปจนถึงหน่วยงานหรือบริษัท มักจะสร้างปรัชญาที่เป็นถ้อยความอันวิจิตรบรรจงให้กับตนหรือหน่วยงาน เพื่อสร้างศรัทธาความน่าเชื่อถือให้กับบุคคลที่ได้ฟังหรือที่ได้อ่าน
ปัจจุบันความเป็นเกาหลีได้รับความนิยมจากชาวไทยมาก โดยจะเห็นได้จากกระแส K-Pop ในรูปของแฟชั่นการแต่งกาย การแต่งหน้ารวมถึงความนิยมชมละครเกาหลีที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เกือบทุกช่อง สำหรับละครเกาหลีนั้น นอกเหนือจากความสวยความหล่อของตัวละครเกาหลีและความบันเทิงของเนื้อหาที่แตกต่างไปจากรูปแบบอันซ้ำซากจำเจของละครไทยแล้ว(ทั้งๆที่แนวคิดของเรื่องอาจคล้ายกัน เช่น พระเอกตกยากตอนหลังพบว่ามีเชื้อสายกษัตริย์ หรือนางเอกตกยาก ตอนหลังเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัท เป็นต้น) สิ่งที่เกาหลีได้แฝงมาด้วยคือการขายวัฒนธรรม และละครที่เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสนี้คือละครเรื่อง “แดจังกึม : จอมนางแห่งวังหลวง” ที่ทำให้คนไทยสนใจเรื่องอาหารและวิธีการทำอาหารอย่างคลั่งไคล้ ละครเรื่องซอดองโยได้เข้ามาออกอากาศต่อจากละครเรื่องแดจังกึม โดยเข้ามาด้วยการขายภาพลักษณ์ผ่านถ้อยคำและผ่านบทบาทของตัวละครที่พยายามแสดงให้เห็นถึง ผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม มีความรู้ด้านศิลปะและวิทยาการ มีอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว มั่นคงในรักและมีคุณธรรมสูงส่ง สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมชาวไทยเป็นจำนวนมาก ละครเรื่องนี้ได้ฉายภาพให้เห็น พลังวาทศิลป์ของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละครเอกของเรื่องที่ชื่อ “จาง”
ในการวิเคราะห์และศึกษานี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์และศึกษาข้อมูลทางภาษาในละครเรื่องซอดองโย โดยผู้เขียนนำข้อมูลส่วนใหญ่มาจากวีดิทัศน์เรื่องดังกล่าว(Newnewna, วีดิทัศน์) และข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ popcornfor2 (เรื่องย่อซอดองโย,2550)
ผู้เขียนมีเหตุผลหลัก 2 ประการในการเลือกวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลทางภาษาจากละครเรื่องซอดองโยซึ่งถือว่าเป็นเหตุผลที่มีความโดดเด่นที่ผู้เขียนพบในละครเรื่องนี้ คือ
1. บทสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวละครจำนวนมากมีพลังของถ้อยคำและมีวาทศิลป์ใน
การสนทนา ซึ่งหากเทียบกับละครเรื่องอื่นๆที่ปรากฏสู่สายตาผ่านจอโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเทียบกับละครเกาหลีเองหรือเทียบกับละครไทยก็ตาม พบว่าผู้เขียนบทได้เขียนบทที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดเฉลียวของตัวละครโดยเฉพาะตัวละครเอก ผ่านบทสนทนา
2. ความโดดเด่นด้านบทสนทนาระหว่างตัวละครแต่ละบทนั้นเป็นบทสนทนาที่มีความ
ยาว ซึ่งความโดดเด่นของข้อนี้อาจไปสนับสนุนความโดดเด่นของข้อแรก นั่นคือ การมีบทสนทนายาว อาจทำให้เหมาะแก่การสร้างถ้อยคำที่มีวาทศิลป์ได้ เพราะละครเรื่องนี้มีทั้งสิ้น 55 ตอน ผู้เขียนพบถ้อยคำวาทศิลป์ในบทสนทนา จำนวน 41 ตอน ภายใน 41 ตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นวาทศิลป์ของจาง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้เขียนจึงมีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์และศึกษา 2 ข้อ คือ
1. เพื่อวิเคราะห์วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ของตัวละครเอกชื่อ “จาง”
2. เพื่อศึกษาความเห็นด้วยของถ้อยคำที่มีวาทศิลป์ในบทสนทนาของตัวละคร
ในวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 นั้น ผู้เขียนใช้แบบสอบถาม สอบถามกลุ่มคนที่ชมละครกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละคร โดยต้องการศึกษาว่า การมีหรือไม่มีข้อมูลรวมทั้งการมีหรือไม่มีภาพลักษณ์ต่างๆของตัวละครนั้น มีผลทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำของตัวละครแต่ละตัว
เนื้อเรื่องย่อ
ซอดองโยเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงกษัตริย์มู ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ 30 แห่งแคว้นเพ็กแจในค.ศ. 600 (wikipedia, 2007) แม้ตามประวัติศาสตร์เกาหลี กษัตริย์มูจัดเป็นกษัตริย์ที่เจ้าชู้มาก แต่ในละครชุดนี้มีบทบาทเป็นคนรักเดียวใจเดียว (ซอดองโยสายใยรักสองแผ่นดิน, 2549)
ในเนื้อเรื่องจาง(กษัตริย์มูในเวลาต่อมา)กำเนิดจากกษัตริย์วีดุกแห่งแคว้นเพ็กแจกับนางรำชื่อยูนกาโม ซึ่งครั้งนั้นการลอบเข้าหานางรำของกษัตริย์ก่อนพิธีบวงสรวงถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณี เพราะพิธีบวงสรวงเป็นพิธีที่สำคัญ กษัตริย์ต้องครองพรหมจรรย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ยูนกาโมตั้งท้องและกษัตริย์วีดุกได้มอบสร้อยสัญลักษณ์ให้นางเมื่อรู้ว่านางตั้งท้องและถูกทหารของพระองค์ตามล่าโดยพลการเพื่อกำจัดปัญหาไม่ให้ความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ด่างพร้อย ยูนกาโมต้องหนีออกนอกวัง แม้นางจะเป็นคู่หมั้นของโมลาซู บัณฑิตประจำสำนักทาฮักซา แต่เพื่อรักษาบุตรในท้องที่มีเชื้อสายกษัตริย์นางจึงจำต้องจากโมลาซูโดยมิได้เปิดเผยความจริงให้โมลาซูรู้
จางเติบโตมาท่ามกลางความเคยชินกับการเปลี่ยนที่อยู่อาศัยอย่างไม่เป็นหลักแหล่ง เมื่อโตขึ้นยูนกาโมเห็นความเฉลียวฉลาดของจางจึงส่งจางไปศึกษากับโมลาซู โดยให้เหตุผลว่าต้องทำให้โมลาซูยอมรับให้ได้ เพื่อจางจะได้พบพ่อ ด้านโมลาซูซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักวิชาการทาฮักซาที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์วีดุก ถูกฝ่ายแม่ทัพพูโยซัน หลานกษัตริย์วีดุกซึ่งต้องการเป็นกษัตริย์ใส่ความว่าโมลาซูกำลังก่อกบฏทำให้โมลาซูและลูกศิษย์จำนวนหนึ่งจะต้องได้รับโทษ แต่จางได้พาหนีไปหาแม่ ทหารไล่ล่าตามมาและยูนกาโมต้องธนูเสียชีวิต โมลาซูพาพรรคพวกและจางหนีไปยังเขตแดนเมืองชิลลาซึ่งเป็นเมืองศัตรูกับเพ็กแจ โมลาซูกับพรรคพวกตั้งสำนักใหม่ชื่อว่าฮานึลเจ จางเสียใจที่แม่เสียชีวิตและโกรธโมลาซู เขาจึงไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและไปสนิทชิดชอบกับองค์หญิงซันวาแห่งชิลลา ต่อมาเขาถูกไล่ออกจากสำนักเพราะทุกคนคิดว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พึมแซงรุ่นพี่ของเขาถูกทหารชิลลาจับและเสียชีวิตในคุก 10 ปีต่อมาจางกลับไปสำนักฮานึลเจโดยหวังจะได้รับการอภัย จางมีความสามารถทั้งด้านกลยุทธการต่อสู้และด้านศิลปะและวิทยาการ เขามีความรู้เกี่ยวกับธาตุ ดิน น้ำ โลหะ ไฟและไม้ ทำขี้ผึ้งทาปากจากไส้เดือน ทำดินแห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์ ค้นพบโรคจากความชื้นโดยศึกษาจากวงของต้นไม้ พิสูจน์กะโหลกพระเศียรของกษัตริย์โดยดูลักษณะของฟันจากบันทึกทางการแพทย์ จางแสดงความฉลาดและความสามารถอีกมากมายจนใครๆต่างยอมรับและไว้วางใจในตัวเขา โดยเฉพาะโมลาซู และเมื่อโมลาซูรู้ภายหลังว่าจางคือองค์ชายสี่ ความคลางแคลงใจที่โมลาซูมีต่อจางและต่อแม่ของจางก็มลายหายสิ้น แต่จางต้องพบอุปสรรคนั่นคือ คีรู เพื่อนสำนักเดียวกันที่จางถือเป็นเพื่อนรักนั้น กลับกลายเป็นลูกขุนนางและเป็นทหารราชสำนักแห่งแคว้นชิลลาที่ยอมลำบากปลอมตัวมาเป็นเวลานานเพื่อนำความรู้ด้านศิลปะวิทยาการของเพ็กแจไปมอบให้กับแคว้นชิลลาโดยแลกเปลี่ยนกับการได้อภิเษกกับองค์หญิงซันวาแห่งแคว้นชิลลา และเมื่อคีรูรู้ภายหลังว่าองค์หญิงที่ตนหลงรักไปรักกับจางแล้ว ดูเหมือนความอดทนมาตลอดได้จบลง คีรูจึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความรักของจางกับองค์หญิง ภายหลังจางรู้เรื่องราวทั้งหมดจากองค์หญิง ก็พยายามให้คีรูกลับตัวแต่คีรูได้ถลำลึกเกินที่จะถอนตัว คีรูยอมไปอยู่ฝ่ายพูโยซัน เจ้านายที่เขาไม่เคยเลื่อมใสศรัทธา เจ้านายที่ขึ้นครองราชย์โดยการลอบปลงพระชนม์กษัตริย์วีดุกบิดาของจางและองค์ชายอาจาพี่ชายของจาง ทั้งพูโยซันและคีรูต้องพบวาระสุดท้ายของชีวิตตามชะตากรรมที่ตนเองก่อไว้ โดยที่จางไม่คิดที่จะทำร้ายหรือแม้แต่สังหารเลย ความฉลาดปราดเปรื่อง มีอุดมการณ์และคุณธรรมสูงส่งของจางประกอบกับความช่วยเหลือจากองค์หญิงซันวา โมลาซู เพื่อนๆศิษย์สำนักทาฮักซาและทหารที่เคยจงรักภักดีต่อกษัตริย์วีดุกและองค์ชายอาจา ทำให้จางได้เป็นกษัตริย์และอภิเษกกับองค์หญิงซันวาในที่สุด
วาทศิลป์กับภาพลักษณ์
วาทศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารให้ประทับใจ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546 : 1066-1067) นอกจากนี้ยังหมายถึงการใช้ถ้อยคำให้เกิดประสิทธิผล ผู้ฟังหรือผู้คนคล้อยตามหรือได้แง่คิดเพื่อนำไปปฏิบัติ วิรัช ลภิรัตนกุล(2543 : 4) ให้ความหมายของวาทศิลป์ไว้ดังนี้
วาทศิลป์ (Rhetoric) ในความหมายทั่วไป หมายถึงศิลปะแห่งการใช้
ถ้อยคำได้อย่างประทับใจทั้งในการพูดและการเขียน (the art of using words
impressively in speaking and writing) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ศิลปะแห่งการ
ใช้ถ้อยคำได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง (the art of using words effectively)
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าละครเรื่องซอดองโยมีจุดเด่นตรงที่ถ้อยคำของตัวละครโดยเฉพาะของจางซึ่งเป็นตัวเอกนั้นมีถ้อยคำที่มีวาทศิลป์จำนวนมาก จางได้ใช้ถ้อยคำแสดงออกมา ทำให้ผู้ฟังคล้อยตามหรือไม่ก็ยอมจำนนด้วยเหตุผล ถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์หลายๆด้าน ทั้งความชาญฉลาด มุ่งมั่น มั่นคง มีอุดมการณ์ มีคุณธรรมสูงส่ง ฯลฯ
ภาพลักษณ์ในที่นี้ก็คือภาพที่เกิดขึ้นในจิตใจ ราชบัณฑิตยสถาน(2546 : 821) ได้ให้ความหมายของคำว่าภาพลักษณ์ ไว้ว่า “ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น, จิตภาพก็ว่า (อ. Image)” ภาพลักษณ์ของผู้พูดหรือของผู้เขียนมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินความน่าเชื่อถือที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านมีต่อถ้อยคำของผู้พูดนั้น ภาพลักษณ์ที่ดีของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ฟังตั้งกรอบความศรัทธา ความเชื่อถือไว้ในลักษณะใด บางคนยึดมั่นศรัทธาต่อคนมีคุณธรรม บางคนยึดมั่นศรัทธาคนเก่ง บางคนยึดมั่นศรัทธาคนขยัน บางคนยึดมั่นศรัทธาคนฉลาด วิรัช ลภิรัตนกุล(2543 : 114) กล่าวว่า
การที่ผู้พูดจะสามารถพูดได้อย่างสัมฤทธิผลหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัย
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือ “ภาพลักษณ์ของผู้พูด” (the speaker’s image)
ซึ่งปรากฏอยู่ในสายตา ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องมีบุคลิก
ลักษณะแห่งความน่าเชื่อถือศรัทธาและน่าไว้วางใจ ในความรู้สึกนึกคิดจิตใจ
ของผู้ฟัง ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “อีทอส” (Ethos).. อีทอส คือบุคลิกลักษณะส่วน
ตัวของผู้พูด(speaker’s personal characteristics) ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะทำ
ให้ผู้พูดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยในสายตาของผู้ฟัง และ Ethos นี้ สามารถ
แสดงลักษณะหลายประการให้เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของผู้ฟังได้ เช่น ทำ
ให้ผู้ฟังคิดว่าผู้พูดเป็นคนหยาบกระด้าง (roughly) ผู้พูดเป็นคนฉลาดมีไหว
พริบดี (good sense) ผู้พูดเป็นคนมีศีลธรรมดี (good moral) ผู้พูดเป็นผู้มี
ความปรารถนาดี (good will) เป็นต้น
Kenneth E. Boulding (อ้างถึงใน รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ, 2550) ได้อธิบายว่า
“ภาพลักษณ์” เป็นความรู้ ความรู้สึกของคนเราที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะความรู้นั้นเป็นความรู้ที่เราสร้างขึ้นมาเองเฉพาะตน เป็นความรู้เชิงอัตวิสัย (Subjective Knowledge) ซึ่งประกอบด้วย “ข้อเท็จจริง คุณค่าที่เราเป็นผู้กำหนด โดยแต่ละบุคคลจะเก็บสะสมความรู้เชิงอัตวิสัยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่ได้ประสบและมีความเชื่อว่าจริง เนื่องจากคนเราไม่สามารถที่จะรับรู้และทำความเข้าใจกับทุกสิ่งได้ครบถ้วนเสมอไป เรามักจะได้เฉพาะ ภาพ บางส่วนหรือลักษณะกว้าง ๆ ของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งอาจไม่ชัดเจนแน่นอนเพียงพอ แล้วมักตีความหมาย (Interpret) หรือให้ความหมายแก่สิ่งนั้น ๆ ด้วยตัวเราเอง ความรู้เชิงอัตวิสัยนี้จะประกอบกันเป็นภาพลักษณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกตามทัศนะของเรา และพฤติกรรมที่เราแสดงออกก็จะขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของสิ่งนั้น ๆ ที่เรามีอยู่ในสมองด้วย
ภาพลักษณ์ของบุคคลจึงสามารถเป็นตัวกำหนดความคิดหรือความศรัทธาของอีกฝ่ายหนึ่งได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นถ้อยคำของบุคคลนั้นย่อมมีผลต่อความคิดและความศรัทธาของอีกฝ่าย
เช่นกัน ผลนี้ส่งไปยังระดับบุคคลและกลุ่มบุคคลได้ ส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆตามมา
วาทศิลป์ที่แสดงภาพลักษณ์ของตัวละครเอกชื่อ “จาง”
ดังคำอธิบายข้างต้นของ Kenneth E. Boulding ภาพลักษณ์จึงขึ้นอยู่กับการประเมินส่วนตัวของแต่ละคน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อาจกล่าวได้ว่าถ้อยคำที่น่าเชื่อถืออาจเปลี่ยนไปเมื่อภาพลักษณ์เปลี่ยน วาทศิลป์ของจางนั้น มีทั้งการเลือกใช้ถ้อยคำที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งดูด้อยคุณค่า การเลือกใช้ถ้อยคำขู่ ท้าทาย โน้มน้าวใจ และถ้อยคำที่ลึกซึ้งกินใจ ให้ข้อคิดมากมาย แม้ว่าวาทศิลป์ในหนึ่งข้อความของจางอาจแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ของเขาในหลายๆด้าน แต่ผู้เขียนพยายามเลือกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นภาพลักษณ์ของจางในแต่ละด้านตามที่ผู้เขียนได้แบ่งไว้มากที่สุด ต่อไปนี้เป็นวาทศิลป์ที่แสดงภาพลักษณ์ด้านต่างๆของจาง
1. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความเฉลียวฉลาด
1.1 ความฉลาดในการตอบโต้
ตอนที่ 25 หลังจากจางแก้ปัญหาให้พูโยซันได้ ทำให้พูโยซันรู้สึกว่าตนนั้นเป็นรอง คีรูจึงพูดปลอบพู
โยซันในทำนองว่า จางไม่ได้เก่งกาจแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการดูแคลนจางแบบลับหลัง บังเอิญจางเดินผ่านมาได้ยิน จึงโต้กลับทันทีโดยชี้จุดที่น่าละอายทำให้คีรูเสียหน้า
คีรู(พูดกับพูโยซัน) : ความบ้าบิ่นนั้นจะนำปัญหามาสู่ตัวเขาเอง
จาง(เดินเข้ามาได้ยิน) : ข้าเคยเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพื่อที่จะเป็นคู่แข่งของเจ้า ข้า
คงต้องละเอียดรอบคอบ มีความระมัดระวัง ต้องเรียนรู้การเป็นคนใจดำเหมือนเจ้าแล้ว
ตอนที่ 27 เมื่อจางรู้ว่าคีรูเป็นสายลับของแคว้นชิลลาก็พอยอมรับได้ที่คีรูทำเพื่อบ้านเมือง แต่จาง
รับไม่ได้และต่อว่าที่คีรูไปรับใช้พูโยซันโดยการใช้อาจารย์โมลาซูและจางเป็นเครื่องมือและหักหลังทุกคนในสำนักทั้งๆที่อาจารย์รักและเอ็นดูคีรูมาตลอดและจางเองก็ถือคีรูเป็นเพื่อนรักด้วยจางจึงกล่าวว่าคีรูไม่ใช่คน แต่คีรูกลับบอกเหตุผลที่แสดงความเห็นแก่ตัว จางจึงต้องโต้ตอบและเดินจากไปจนทำให้คีรูแผดเสียงออกมาอย่างบ้าคลั่ง
คีรู : องค์หญิงคงไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด ข้าเป็นนักรบ “ฮวารัง” อายุเพียง 15 ปี ทำไมถึงมา
เป็นสายลับที่ฮานึลแจ องค์หญิงคงไม่ได้บอกสิ ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงได้กลับชิลลาแต่งงานกับองค์หญิงไปแล้ว ข้าคือ “ฮวารัง” ที่ควรร่วมพิธีน้ำศักดิ์สิทธิ์กับองค์หญิง แต่เจ้ากลับเข้ามาแทรก สายตาข้ามีเพียงองค์หญิง 10 ปีที่ผ่านมา นางอยู่ในใจของข้าเสมอ แต่อยู่ๆ เจ้าก็เข้ามาทำลายทุกอย่าง เจ้ากับองค์หญิง อ้างคำว่า “รัก” ทำให้ผลเป็นเช่นนี้ ข้าต้องบ้านแตก ชีวิตข้าต้องพังทลาย ทำไม ? มีแต่เจ้าที่จริงใจหรือ ข้าไม่มีความรักแท้หรือไร ข้ามีความรักผลักดันให้ทะเยอทะยาน ข้าทะเยอทะยานก็เพื่อความรัก รักของข้ามันด้อยกว่าเจ้าตรงไหน ข้ามีทางเลือกเพียงทางเดียว เหมือนกับที่เจ้าทำลายครอบครัวข้า ข้าต้องทำลายความรักของเจ้า เรา..เริ่มต้นกันใหม่ ก็ได้ ข้ายอมรับ เรามาเริ่มต่อสู้กันใหม่
จาง : ได้...ที่ว่าเจ้าไม่ใช่คน ข้าขอถอนคำพูด แต่เจ้าเป็นคนน่าสมเพช เจ้าถึงได้ทำไปอย่างนั้น
ข้าเข้าใจแล้ว
ตอนที่ 27 จางยอมปิดบังฐานะของคีรูตามคำขอร้องขององค์หญิงซันวา ที่ให้เหตุผลว่าคีรูต้องบ้าน
แตกสาแหรกขาด ไม่สามารถกลับไปชิลลาได้ทั้งๆที่ทำงานเพื่อชิลลาแต่กลับกลายเป็นผู้ถูกไล่ล่า องค์หญิงรู้สึกผิดคิดว่านี่เป็นเพราะความรักของจางและองค์หญิงเป็นต้นเหตุ จางจนด้วยเหตุผลขององค์หญิงจึงไปพูดกับคีรู ทำให้คีรูรู้สึกถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็โดนจางตอกกลับจนได้
จาง : ข้าจะเก็บเป็นความลับ
คีรู : คงไม่มีทางเลือกอื่นสิ
จาง : ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเลือกอื่น แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้า เริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะข้าเป็นผู้ทำลายชีวิต
เจ้า ละทิ้งความแค้นและความทะเยอยาน ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ถ้าเจ้าทำได้เรามาสู้กันอย่างลูกผู้ชาย
ตอนที่37 หลังจากกษัตริย์วีดุกถูกลอบปลงพระชนม์ น้องชายของกษัตริย์วีดุก บิดาขององค์หญิงวู
ยงขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ จางกับโมลาซูจึงวางแผนกลับเข้าวังและสามารถทำให้องค์หญิงวูยงช่วยเหลือพวกเขาและกษัตริย์องค์ใหม่ยอมให้เข้าวังเพราะพวกเขายอมนำตราพระลัญจกรกลับคืนให้ ทำให้พูโยซันโกรธบิดาและองค์หญิงวูยง น้องสาวต่างมารดา ที่หักหลังตน
คีรู : ทำให้แม่ทัพถึงกับขาดสติ ข้ายอมรับว่าประหลาดใจจริงๆ ยิ่งเป็นอาจารย์ใช้วิธีเช่นนี้ ข้ายิ่ง
ประหลาดใจ
โมลาซู : ที่แม่ทัพขาดสติเป็นเพราะแผนของเราหรือ
จาง : ที่แม่ทัพทำการอย่างขาดสติยั้งคิดเป็นเพราะกรรมเก่าตามทัน...........รัชทายาทอาจา อดีต
กษัตริย์ที่สวรรคต ชาวบ้านที่ล้มตาย หากไม่มีเรื่องนี้แม่ทัพก็คงไม่ขาดสติ ไม่ช้าก็เร็ว ความรู้สึกผิดก็จะครอบงำตนเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่แผนของอาจารย์ อาจารย์เพียงแต่สอนว่า คนเราไม่ควรทำชั่ว ที่อาจารย์ทำเช่นนี้จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลย
ตอนที่ 41 คีรูคิดแผนการให้พูโยซัน โดยการจับจางและโมลาซูมาคุกเข่าต่อหน้าพูโยซันที่ลาน
กลางแจ้ง และบังคับให้จางเลือกทำระหว่าง บอกว่าใครคือองค์ชาย 4 กับการฆ่าโมลาซู พร้อมยื่นดาบให้จาง ชั่วเสี้ยวนาทีนั้นจางมีความคิดที่แยบยล ที่จะไม่เปิดเผยว่าตนเป็นองค์ชาย 4 และจะไม่ฆ่าโมลาซู อาจารย์ของเขา ด้วยการแสร้งรู้แผนการของคีรูว่า คีรูวางแผนจะฆ่าเขาและโมลาซู
จาง : ไม่...ไม่มีทางที่ข้าจะมีชีวิตรอด นี่เป็นกับดักที่เจ้าล่อให้ข้าตาย มันไม่มีทางออกหรอก
เจ้าชายองค์ที่ 4 ตายไปแล้ว และเจ้าก็รู้ดีว่าข้าฆ่าอาจารย์ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อข้าไม่ฆ่าอาจารย์ เจ้าก็จะกล่าวหาว่าเจ้าชายยังมีชีวิตอยู่ เจ้าบังคับข้าให้พูด แต่ข้าไม่อาจนำเจ้าชายมาให้เจ้าได้เพราะเขาตายแล้ว เจ้าจะฆ่าข้าอีก ข้าเกือบจะหลงกลเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงอยากฆ่าข้านัก ทำไม...
1.2 ความฉลาดในการต่อรอง
ตอนที่ 24 จางและโมลาซูถูกจับไปยังเกาะโซยุนโดซึ่งเป็นค่ายกักกันและใช้แรงงานนักโทษ แต่ข่าวพูโยซันถูกทูตจีนใช้วิธีสกปรกใส่ร้ายว่าวางยาพิษทูตจีนคนหนึ่งจนเสียชีวิต จางรู้ข่าวนี้จึงเขียนจดหมายถึงพูโยซันว่าจะแก้ปัญหาให้ทั้งๆที่เขายังไม่มีแผนการใด แต่เขากลับขู่และชี้ให้พูโยซันเห็นความสามารถที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยัน ถึงกับทำให้พูโยซันคับแค้นแต่ก็ยอมรับข้อเสนอ
จาง : ข้าได้ยินว่า..ท่านตกที่นั่งลำบาก ไม่มีใครช่วยท่านได้ เรียกข้ากลับ “ซาวีซอง” ข้าจะ
แก้ปัญหาให้ท่านเอง ท่านอาจคิดว่าข้าโกหก เพราะอาจารย์โมลาซูป่วย แต่ท่านมีแต่จะเสีย ลองคิดดู ใครเป็นผู้จุดคบเพลิงในสงครามชิลลา ใครเป็นผู้พิสูจน์กะโหลกพระเศียรอดีตกษัตริย์
พูโยซัน : มันควรขอร้องข้า นี่มันกลับกล้าขู่ข้า
ตอนที่ 25 เพ็กแจตกที่นั่งลำบากเมื่อทูตจีนบีบบังคับให้เพ็กแจต้องตัดสินใจระหว่างส่งมอบภูเขากูโบงกวาง (เป็นที่ซึ่งอุดมด้วยทองคำ) หรือส่งมอบตัวพูโยซันให้แก่ทางจีน ในขณะที่จางนั้นเมื่อได้กลับมายังวังหลวง จางเห็นว่าตนถือไพ่เหนือกว่าพูโยซัน ประกอบกับต้องการถ่วงเวลาในการคิดวิธีแก้ปัญหาเพื่อพิสูจน์ว่าพูโยซันไม่ได้วางยาพิษทูตจีน จางจึงทำเป็นว่าเพิ่งกลับจากเกาะโซยุนโด ต้องฉลองกับเพื่อนๆในสำนักก่อน จนพูโยซันทนไม่ไหวให้ทหารไปตามจางมาพบที่ห้อง พูโยซันทำให้จางถึงกับลังเลเมื่อพูโยซันนำอาจารย์โมลาซูซึ่งป่วยหนักมาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อให้จางบอกแผนการ แต่จางเรียกความเด็ดเดี่ยวกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ตอบโต้ไปอย่างเหนือชั้นพร้อมเพิ่มข้อต่อรองอีก
จาง : ท่านแม่ทัพผิดสัญญากับข้าถึงสองครั้ง จะให้บอกเลยได้อย่างไร ....... แต่งตั้งข้ากลับ
สำนักทาฮักซาก่อน! ....... หากไม่ฟังข้า ท่านจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ .......ท่านเคยบอกว่าจะไม่รักษาสัญญากับคนที่ไม่มีอำนาจ ทางแก้ของข้าคือต้องมีอำนาจ ถ้าข้ามีอำนาจ ท่านก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ส่งข้าไป “โซยุนโด” ก็ได้ แต่ท่านจะไม่รู้ความคิดข้า ตัดหัวข้าก็ได้ แต่ท่านแม่ทัพก็ไม่มีทางแก้ปัญหา
พูโยซัน : เอาตัวเข้ามา เศษสวะอย่างเจ้า กล้าต่อรองกับข้าหรือ น่าขันสิ้นดี ถ้ามีแผนการ บอกข้า
มา ถ้าไม่มี โมลาซูต้องตาย
จาง : อาจารย์ ขอโทษครับ ถึงชีวิตอาจารย์จะอยู่บนเส้นด้ายข้าก็จะทำอย่างที่ตั้งใจ ไม่นึกว่าท่าน
แม่ทัพจะทำเช่นนี้ บังคับอาจารย์มาที่นี่ทั้งๆที่ป่วยหนัก ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก ข้าขอเปลี่ยนข้อตกลง เพียงคืนตำแหน่งที่สำนักทาฮักซาให้ข้ายังไม่พอ ถ้าอยากรู้แผนการข้า ต้องยกผลงานผ้าไหมลายวิจิตรให้ ตั้งข้าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และให้อาจารย์โมลาซูเป็นหัวหน้าสำนักทาฮักซา อีกอย่างต้องทำพิธีแต่งตั้งเราเสร็จสิ้นก่อน ข้าถึงจะบอกท่าน หาไม่ ข้าจะไม่ยอมเปิดปาก ตอนนี้จะฆ่าหรือไว้ชีวิตก็แล้วแต่ท่านแม่ทัพ
ตอนที่ 52 หลังจากได้เป็นกษัตริย์มู จางจัดระบบขุนนางใหม่โดยการให้เหล่าขุนนางคืนที่ดินและ
ทหารที่ครอบครองเป็นจำนวนมากเกิน กลับมาเพื่อนำที่ดินไปแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ไม่มีที่ทำกิน ทำให้เหล่าขุนนางคัดค้านเพราะไม่ต้องการสูญเสียฐานอำนาจของตน ทำให้จางโกรธที่ขุนนางพวกนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัวไม่เคยนึกถึงประชาชน จึงขู่โดยนำจุดบอดและข้อผิดพลาดที่ขุนนางทำไว้ในครั้งก่อนมาเปิดเผยและจะลงโทษ ข้อต่อรองนี้ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าคัดค้าน
จาง : ถ้าหากเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าจะกลับไปใช้ระบบสมัยก่อนหน้านั้นอีก เอาสมัยกษัตริย์ซุงวานดี
ไหม… หรือจะเอาเก่ากว่านั้น เอาสมัยกษัตริย์มูยูงไหม อดีตกษัตริย์วีดุกเคยส่งสาสน์ลับให้พวกเจ้าทุกคน ให้ฆ่าพูโยซัน ตอนนั้นมีใครฟังคำสั่งบ้าง เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าสามารถประหารพวกเจ้าฐานะกบฏได้ ข้าก็รู้เจ้าอาศัยพูโยซันหาประโยชน์เข้าตัว และยังเนรเทศเจ้าชายอาจาออกไป เพื่อทอนอำนาจกษัตริย์วีดุก แล้วผลเป็นอย่างไร พวกเจ้าดับความฝันประชาชน ยึดเอาที่ดินประชาชนมา และยังเก็บภาษีอย่างหนัก ประชาชนต้องเดือดร้อนเพียงใด แม้แต่อยู่ยังไม่เป็นสุข ข้าอยากลงโทษพวกเจ้าให้สาสมความผิด ที่ข้ายังไม่ทำ เพราะอยากให้พวกเจ้าสำนึกผิด พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม
ตอนที่ 54 เหล่าขุนนางยังคงต้องการฐานอำนาจโดยไปเจรจาต่อรองกับองค์หญิงวูยงให้องค์หญิง
อภิเษกกับกษัตริย์มู เพราะรู้ว่าองค์หญิงแอบหลงรักกษัตริย์มูและหากองค์หญิงได้เป็นราชินี พวกขุนนางก็จะได้พึ่งพาองค์หญิงได้ นี่เป็นกลเกมทางการเมืองที่มากดดันฐานะกษัตริย์ของจาง เมื่อองค์หญิงมาเจรจา จางจึงแกล้งใช้ความเย็นชาราวกับเจรจาการค้าเพื่อให้บทเรียนแก่องค์หญิงเหมือน
กับที่องค์หญิงเคยบอกว่าให้จางยอมรับในโลกแห่งความเป็นจริง
จาง : สิ่งที่เรากำลังทำคือการตกลงเงื่อนไขสัญญา ท่านต้องบอกให้ชัดเจนว่าจะให้อะไรแก่ข้าเป็น
การตอบแทน ทำเช่นนี้จึงจะถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการมิใช่หรือ ข้าจะรอข้อเสนอจากท่าน นี่คือการอภิเษกเพื่อแลกผลประโยชน์ เป็นการดีที่สุดหากเราเขียนข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งสิ่งที่ขุนนางต้องการและสิ่งที่ข้าต้องการ
องค์หญิงวูยง : อะไรทำให้ฝ่าบาทโหดร้ายถึงเพียงนี้
จาง : องค์หญิงต่างหากที่ควรบอกข้า ทำไมจึงแสดงท่าทีเช่นนี้ องค์หญิงบอกข้าว่าให้ยอมรับ
ความจริงของชีวิตให้เข้าใจการช่วงชิงอำนาจ องค์หญิงเอาชนะข้าแล้วในเกมอำนาจ แต่ตอนนี้กลับขอดวงใจ ขอความรักจากข้าหรือ ในการอภิเษกของเราไม่มีวันมีสองสิ่งนี้
1.3 ความฉลาดในการโน้มน้าวใจและให้อีกฝ่ายยอมจำนน
ตอนที่ 17 จางใช้ความมั่นใจและความเข้มแข็งของตนให้องค์ชายอาจาคลายความกังวลและเรียก
กำลังใจที่เข้มแข็งกลับคืนมา
จาง : หากเสียโอกาสครั้งนี้ ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาส ข้าเกรงว่ารัชทายาทจะเสียความมั่นใจที่ได้จาก
ชัยชนะที่ผ่านมา อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด คนเราควบคุมไม่ได้ ปัญหาเกิดจากสถานการณ์ ไม่ได้เกิดจากคน
องค์ชายอาจา : แต่ทำไมเมื่อเกิดเรื่องทุกครั้ง ข้าจะโทษตัวเอง ถ้าเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ
ทำไมข้าจึงสูญเสียความมั่นใจ
จาง : ไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ อาจารย์โมลาซูต้องได้
กลับมา ไม่ใช่ครั้งนี้ก็ครั้งหน้า ไม่ใช่ครั้งหน้าก็ครั้งต่อไป สมมุติสุดท้ายเราเอาอาจารย์กลับมาไม่ได้ ข้าก็จะหาคนที่เหมือนอาจารย์มา ถ้ายังหาไม่ได้ ข้าก็จะเป็นอย่างอาจารย์เพื่อท่าน รัชทายาทอาจคิดว่าข้าพูดเกินจริง แต่ได้โปรดเชื่อข้าเถิด
ตอนที่ 25 จางได้สอนความเด็ดเดี่ยวให้กับพูโยซันจนพูโยซันคล้อยตาม
พูโยซัน : ข้า..อดทนกับเจ้ามามากพอ ยอมทำตามที่เจ้าอวดดีเรียกร้อง ตอนนี้บอกข้ามา แผนการ
เจ้าคืออะไร ข้าสั่งให้เจ้าบอกมา
จาง : ข้าชี้ทางให้แล้ว...เมื่อมีชีวิตข้าอยู่บนเส้นด้าย ข้าถูกเรียกตัวกลับสำนัก ยังได้เลื่อนขั้นเป็น
ผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์โมลาซูก็ได้เป็นหัวหน้าสำนัก ทั้งหมดเกิดได้เพราะอะไร
พูโยซัน : เจ้าหลอกข้าหรือ ทำทีว่ามีในสิ่งที่เจ้าไม่มี เจ้าไม่มีแผนการ!
จาง : ข้าไม่มี... แต่แม่ทัพเชื่อว่าข้ามี ข้าจึงได้ทุกอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจึงต่อรองกับท่านแม่ทัพได้
ฝ่ายอ่อนแอต่อสู้กับฝ่ายที่แกร่งกว่า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ว่า..วิธีนี้จะให้ได้ผลต้องระวัง อย่าได้กะพริบตาเป็นอันขาด ต้องแสดงความมั่นใจ เหมือนที่ข้าหลอกท่านได้สำเร็จ อย่าลังเลไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร อย่าให้เขาสงสัยว่าท่านโกหก จะทำได้ ท่านต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฉะนั้น..ข้าจึงผัดผ่อนจนถึงช่วงวิกฤติ ค่อยบอกกับท่าน ข้ามีความกล้าเหมือนกับคณะทูตจีน แต่ท่านแม่ทัพไม่มีสิ่งนั้น ไม่มีกษัตริย์คนใดส่งทูตมาเจรจาตัดสัมพันธ์ ข้ายังรู้มาว่า มีเรือเดินทางออกไปเมืองจีนจริง แต่ไม่มีเรือจากจีนกลับเข้ามา แสดงว่าถึงจะส่งข่าวกลับจีนแต่ไม่เคยมีคำสั่งกลับมา ถ้าลังเลเพียงนิดเดียวก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ ข้าบอกแผนการท่านแล้ว ท่านจะใช้มันอย่างไร ก็สุดแล้วแต่
ตอนที่ 25 คีรูต่อว่าที่จางคิดแผนการให้พูโยซันนั้นจะนำอันตรายมาสู่ตัวจางกับโมลาซูรวมทั้ง
แคว้นเพ็กแจด้วย จางจึงบอกว่าเขาเคยอ่านเรื่องหนึ่งในหนังสือที่คีรูเป็นคนให้เขาเอง ทำให้คีรูพูดไม่ออก
จาง : มีเรื่องๆหนึ่ง เกี่ยวกับชายที่จะถูกประหารชีวิต แต่กลับขอกษัตริย์ ว่าหากให้เวลาเขาหนึ่งปี
เขาสัญญาจะทำให้ม้าบินได้ กษัตริย์ก็ยอมตาม นักโทษอื่นถามชายผู้นั้นว่าทำไมจึงสัญญาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ชายผู้นั้นตอบว่า ภายในหนึ่งปี ใครบ้างจะหยั่งรู้อนาคต ภายในหนึ่งปีกษัตริย์อาจจะตาย ข้าอาจจะตาย ม้าอาจจะตาย หรือใครจะรู้ในหนึ่งปี ม้าอาจจะบินขึ้นมาได้
ตอนที่ 47 ทหารแห่งวังหลวงไม่กล้าจับทหารของขุนนางที่ทำผิดกฎ จางได้สั่งสอนทหารโดยการให้
เห็นความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของการเป็นทหาร
จาง : ฟังข้า...เจ้าเป็นทหารรักษาพระองค์ มีหน้าที่ดูแลอารักขาฝ่าบาทและประชาชน ไม่ว่าเจ้าจะ
มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเพียงใด ตอนนี้เจ้าเป็นทหารรักษาพระองค์แล้ว หากมีใครดูถูกเจ้าเพียงเพราะเขามียศศักดิ์สูงกว่า ต้องจัดการตามกฎหมาย นี่คืออำนาจของกองกำลังรักษาพระองค์ นี่คือศักดิ์ศรีของกองกำลังรักษาพระองค์ ว่าไปตามกฎ เข้าใจไหม
ทหาร : ขอรับ
จาง : เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ต้องลงโทษคนพวกนี้ต่อหน้านายของมัน...เริ่มได้
ตอนที่ 54 จางได้สั่งสอนคีรูและชี้ให้เห็นความผิดทั้งหลายที่ผ่านมา
จาง : โชคชะตาไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นทางที่คนเลือกเดินแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ เจ้าว่าเจ้าไม่มีทางเลือกหรือ เจ้ามีทางเลือกมาตลอด ปัญหาของเจ้าคือแต่แรก ทางที่เจ้าเลือกเดินล้วนเป็นทางผิด เพื่อที่จะปกป้องสิ่งที่เจ้ารักและรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง แม้ต้องยอมแลกด้วยชีวิต เจ้าก็ควรต่อสู้กับสิ่งเลวร้าย แม้ว่าทางที่เลือกเดินจะทรมานยิ่งกว่าความตาย ความรักในใจจะช่วยให้ผ่านทุกอุปสรรค แต่ที่เจ้าเลือกหาอำนาจสกปรก ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนตน เจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่มีทางเลือกหรือจะแก้ตัวง่ายๆเช่นนี้หรือ บาปของเจ้าคือเจ้าไม่เคยมีรัก ไม่รักแม้แต่ชีวิตของตนเอง เจ้าไม่เคยรับรักใครด้วยใจจริง เจ้าเลือกความรักตามที่มันสนองความต้องการของเจ้า เจ้าเลือกนายที่เจ้าไม่มีความเลื่อมใสเพียงเพื่อสนองความต้องการส่วนตน เจ้ามีโอกาสเลือกที่จะใช้ชีวิตที่แตกต่างแต่เจ้ายังเดินตามทางที่นำสู่ชะตากรรมในวันนี้ เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเส้นทางแห่งความชั่วร้าย ยังนำพาตนเองมาถึงจุดนี้
2. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความมุ่งมั่นและมีอุดมการณ์
ตอนที่ 10 โมลาซูตำหนิจางอย่างรุนแรงที่นำความรู้ของเพ็กแจไปรักษาชาวเมืองชิลลาทำ
ให้ความรู้นี้รั่วไหล จึงบอกให้จางไปอยู่กับองค์ชายอาจาเสีย แต่ด้วยเหตุผลและความมุ่งมั่นของจาง โมลาซูจึงเปลี่ยนใจให้เขาอยู่ต่อ
จาง : ข้าไปไม่ได้ เพื่อเห็นกับท่านข้าก็อยากไป แต่ข้าไปไม่ได้ ข้าไม่รู้ทำไม แม่บอกให้ข้าทำให้ท่านยอมรับนับถือให้ได้ ข้าไม่รู้แม่ต้องการเพียงให้อาจารย์ยอมรับข้าหรือแค่หวังให้ข้าเป็นยอดคน แต่กระนั้นข้าต้องทำตามที่แม่บอก แม้ว่านี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะยืนต่อหน้าพ่อได้อย่างภาคภูมิใจ เป็นทางเดียวที่ข้าจะรู้ว่าพ่อเป็นใคร ข้าเป็นใคร เหตุใดข้าจึงมีนิสัยขัดแย้งในตัวเอง นี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะรู้ทุกอย่าง ข้าต้องให้อาจารย์ยอมรับข้าให้ได้ ความรัก ความเกลียดที่อาจารย์มีต่อข้าโปรดแสดงออกมาอย่างที่คิด หากธรรมชาติให้แต่ความอบอุ่น มนุษย์ก็คงไม่ก้าวหน้า แต่ธรรมชาติมีความโหดร้าย ทำให้มนุษย์แกร่งขึ้นและผลักดันให้ก้าวหน้า เช่นเดียวกัน ข้าต้องการรับรู้ความรู้สึกทั้ง 2 ด้านที่อาจารย์มีต่อข้า เพื่อข้าจะได้เติบโต ข้าจะให้ท่านยอมรับข้า โปรดรับข้าไว้ด้วย
ตอนที่ 42 จางต้องลำบากกับการเป็นนักโทษที่โซยุนโดและยังโดนกลั่นแกล้งรังแกจากพวก
นักโทษคนอื่นๆ เพราะว่าเขาต้องการให้สร้างเขื่อนเก็บน้ำมากกว่าการขุดทอง สุดท้ายเขาเปลี่ยนใจโดยต้องทำให้เหล่านักโทษมีความเป็นอยู่ที่สบายก่อน โดยเขายอมเป็นทาสต่อไปแทนการกลับไปวังหลวง และเริ่มต้นแนวทางใหม่อย่างไม่ย่อท้อ
จาง : ข้าจะเริ่มใหม่ แม้ว่าเส้นทางจะเต็มไปด้วยขวากหนาม...แม้ว่าเป็นเส้นทางอันยาวไกล ข้าก็
ต้องเลือกทางที่ถูกเท่านั้น
ตอนที่ 46 องค์หญิงวูยงขู่บังคับให้จางไล่องค์หญิงซันวากลับแคว้นชิลลาเสีย ไม่เช่นนั้นนางจะ
เปิดเผยความจริงที่จางเป็นองค์ชายสี่ให้พูโยซันได้ล่วงรู้ จางกลับตั้งมั่นที่จะไม่เสียทั้งสองทาง เขาจะไม่ยอมเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อที่จะละทิ้งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเท่าๆกัน ดังนั้นเขาจึงบอกความตั้งใจของเขาให้แก่องค์หญิงวูยง และให้เหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่ละทิ้งองค์หญิงซันวาเพื่อแลกกับการเป็นกษัตริย์
จาง : ไม่...ข้าไม่ทิ้งจุดหมายใหญ่เช่นกัน ท่านขู่บังคับข้า เพราะคิดว่าข้าจะทิ้งนางเพื่อจะได้เป็นกษัตริย์ จนถึงวันนี้ท่านได้เห็นคนฆ่าลุงตัวเอง กษัตริย์วีดุก เพื่อได้เป็นกษัตริย์ ฆ่าลูกพี่ลูกน้อง เจ้าชายอาจา เพื่อเป็นกษัตริย์...ดังนั้นข้าไม่โทษท่านหรอกที่จะคิดเช่นนั้น...
ตอนที่ 49 องครักษ์และทหารคนสนิทจะพาจางหนีจากวงล้อมของทหารคีรูโดยทิ้งทหารของจางไว้
คอยรับมือ แต่จางจะละทิ้งทหารของเขาที่กำลังเสียขวัญไม่ได้ เขาจึงประกาศความมุ่งมั่นให้กับตัวเองและพวกพ้องเพื่อแสดงให้เห็นภาวะผู้นำของเขาซึ่งไม่ยอมทิ้งลูกน้องแม้ในภาวะที่คับขันก็ตาม
จาง : ข้าอยู่ไม่ได้ หากเอาตัวรอดแล้วทิ้งพี่น้องเราไว้ ข้าจะนำพาพี่น้องเอง เราจะไม่แยกกัน เราอยู่ด้วยกัน ฝ่าวงล้อมด้วยกัน ด้วยพลังของเรา เราต้องรอดชีวิต...เชื่อข้า....เราต้องแสดงให้มันรู้ว่าเราเป็นใคร เราตั้งมั่นที่นี่ มันก็เอาชนะเราไม่ได้ ดังนั้น เราต้องฝ่าวงล้อมออกไป เอาชนะศัตรูให้ได้....ข้าจะตายไม่ได้...ข้าไม่สมควรตาย...ไม่ใช่เพราะข้าเป็นรัชทายาท แต่เพราะข้ายังมีงานต้องทำ ข้าต้องสานต่องานของเจ้าชายอาจา และกษัตริย์วีดุก พวกเราฝ่าวงล้อมด้วยกัน รวมใจเป็นหนึ่งเดียว ทำลายกำแพงออกไป
ตอนที่ 55 จางมีความตั้งใจก่อนที่จะเป็นกษัตริย์ว่าจะให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขให้ได้ เมื่อเขา
ได้เป็นกษัตริย์แล้ว เขาจึงทำตามที่เขาตั้งใจไว้
จาง : ข้อกำหนดเรื่องถือครองที่ดินของขุนนางให้บังคับใช้ภายใน 2 เดือน ส่งทหารไปช่วยเรื่องการสร้างเขื่อนตามที่ตราไว้ในกฎหมาย ให้แบ่งที่ทำกินและคืนฐานะประชาชนแก่ทาสแรงงาน ใครไม่ทำตามที่กำหนดจะได้รับโทษลงทัณฑ์ถึง 3 ปี นี่คือหน้าที่ของข้าในฐานะกษัตริย์แห่งเพ็กแจ การปฏิรูปครั้งนี้ประชาชนจะได้รับประโยชน์ จะอยู่ดีกินดีขึ้น ไม่อดอยากอีกต่อไป ทุกคนต้องตั้งมั่นเพื่อทำงานให้สำเร็จ
3. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความมีคุณธรรมสูงส่ง
ตอนที่ 8 องค์หญิงซันวาพร้อมด้วยนางสนม และจางยอมให้ชาวบ้านชิลลาจับเป็นตัวประกัน โดยองค์หญิงรักษาสัญญาว่าจะไม่ให้ทหารของนางทำร้ายชาวบ้าน เมื่อถึงเขตพรมแดน ชาวบ้านจึงปล่อยตัวประกันทั้งหมด แต่ปรากฏว่าทหารขององค์หญิงกลับยิงธนูใส่ชาวบ้านรวมทั้งเด็กๆ จางตกใจกับเหตุการณ์ ต่อว่าองค์หญิงพร้อมคุกเข่าขอร้องให้องค์หญิงรีบห้ามทหารโดยเร็ว
จาง : องค์หญิงอาจรอบรู้ทุกเรื่องในโลกหล้าศิลปะวิทยาการทั่วทุกมหาสมุทร แต่หากไม่มีคนเป็นฐาน องค์หญิงจะปกครองใคร
..........................
จาง : ท่านจะปล่อยพวกเขาตายเช่นนั้นหรือ แคว้นชิลลาก็ไม่ต่างอะไรกับกรงสัตว์ ท่านพร่ำบอกว่าอยากเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับดิน ท้องฟ้า และท้องทะเล แต่หากไม่มีผู้คน การเรียนรู้จะมีประโยชน์อันใด
ตอนที่ 32 องค์หญิงซันวาปลอมเป็นวาณิชชาวจีนชื่อจินกาคยอง เข้ามาเพ็กแจเพื่ออยู่ใกล้จาง องค์
หญิงทำการค้าร่วมกับดาจังเพื่อนจางสมัยสงคราม ภายหลังเพื่อการเป็นกษัตริย์ของจาง องค์หญิงจึงคิดเลิกทำการค้าขายเพื่อจะได้มีเวลาร่วมคิดแผนการเต็มที่ องค์หญิงและดาจังสั่งลูกน้องให้ขายสินค้าให้หมดเร็วที่สุด ลูกน้องจึงใช้วิธีขายสินค้าแถมหัวมัน เมื่อจางรู้เข้าจึงห้ามและให้เหตุผลไป ทำให้องค์หญิงและดาจังถึงกับทึ่งและศรัทธาในตัวจางมากยิ่งขึ้น การเข้าใจชาวบ้านช่างเหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์อย่างแท้จริง
จาง : คราวหน้าอย่าใช้วิธีนี้เลย ทำแบบนี้ชาวบ้านได้หัวมันไปมากมาย เด็กขายหัวมันไม่ได้ ต้องอดหิวไปกี่วัน ใช้วิธีแจกหัวมันตามบ้านอย่างนี้ ใครจะซื้อหัวมันจากเด็กๆเล่า อย่างนี้เหมือนทุบหม้อข้าวของเด็กขายมัน ทั้งคุณหนูและดาจังเกิดในตระกูลสูงส่งย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้
ตอนที่ 40 จางรับไม่ได้ที่พวกชาวบ้านถูกฆ่าปิดปากเพราะอยู่ในเหตุการณ์ที่กษัตริย์วีดุกถูกลอบปลงพระชนม์ จึงต่อว่าคีรูอย่างแค้นใจ
จาง : ฆ่าชาวบ้านเพื่ออะไร รากฐานของกษัตริย์ คือชาวบ้านไม่ใช่หรือ ฆ่าชาวบ้านเพื่อให้ได้
ตำแหน่ง ถ้าไม่รู้ทำเพื่ออะไรก็ถือว่าสูญเปล่า
ตอนที่ 42 ระหว่างที่จางเป็นนักโทษที่โซดุนโย เขาเห็น ดูอิล “ลูกพี่” ของเหล่านักโทษกลั่นแกล้ง
ใครต่อใคร ภายหลังเห็นความสามารถของจาง เลยขอเป็นลูกน้องของจาง จางจึงแกล้งขู่จะเอาคืนแต่ความจริงต้องการสั่งสอนให้ดูอิลเป็นคนมีคุณธรรมมากกว่า
จาง : สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ข้าให้อภัยเจ้าได้ที่เคยซ้อมข้า
แต่ข้าต้องขอคืนที่เจ้าเคยซ้อมคนอื่น
ตอนที่ 46 จางให้บทเรียนแก่องค์หญิงวูยง ด้วยการทำเป็นว่าให้ทหารฆ่านางเพื่อปิดปาก เพราะ
นางบังคับให้จินกาคยอง(องค์หญิงซันวา)กลับแคว้นชิลลา รวมทั้งที่นางขู่จะเปิดเผยว่าเขาคือองค์ชายสี่ แต่แล้วจางก็ได้สั่งสอนองค์หญิงวูยงว่าเขาไม่มีทางใช้วิธีการที่ชั่วช้าซึ่งเป็นวิธีที่เขาต่อต้านมาตลอด
จาง : ท่านเรียนรู้ว่าถ้าจะเป็นกษัตริย์ จะต้องแลกกับการสูญเสียความรู้สึกผิดชอบ น้ำตาและความรัก ต้องใช้ความรุนแรงกับผู้คน นั่นคือวิธีของกษัตริย์องค์ปัจจุบันและซาเทกคีรู...แต่ข้าไม่เหมือนกัน ความจริงข้าลังเลไปครู่หนึ่ง แต่มิใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก ข้าไม่คิดจะทิ้งท่านจิน เพื่อเป็นกษัตริย์ไร้หัวใจ แต่ข้าคิดจะกำจัดท่าน ท่านบอกว่ารักข้า ท่านเคยช่วยชีวิตข้า แล้วเรายังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ข้ากลับคิดกำจัดท่าน เพียงเพราะท่านมาขวางทางข้า...นี่ใช่หรือไม่ วิธีการก้าวสู่บัลลังก์ที่ท่านคุ้นเคย...
...แต่ข้าไม่เป็นเช่นนั้น ในโลกนี้ไม่มีตำแหน่งใดๆ ที่ควรค่าที่จะแลกกับการฆ่าผู้บริสุทธิ์ หรือแลกกับคนที่รัก แม้ว่าข้าต้องเดินทางที่ยาวไกล ข้าจะยอมเสียเวลา...
ตอนที่ 54 องค์หญิงวูยงเมื่อรู้ว่าไม่สามารถได้จางมาครอบครองแล้ว นางจึงขอเพียงแค่ให้
จางกอดแล้วนางจะภักดีต่อเขา หากเป็นคนอื่นคงทำตามที่นางขอเพื่อเรื่องต่างๆจะได้จบลง แต่ด้วยความมีคุณธรรมสูงส่งประกอบกับการย้ำเตือนให้องค์หญิงเห็นความเป็นตัวตนของเขา เขาจะไม่เหยียบย่ำเกียรติของใคร แม้ว่าคนนั้นจะหยิบยื่นให้แล้วเขาจะได้สิ่งตอบแทนก็ตาม
องค์หญิงวูยง : ฝ่าบาทกอดหม่อมฉันเถิด หากว่ากอดหม่อมฉัน หม่อมฉันจะยอมทุกอย่าง หม่อม
ฉันไม่เคยเข้าใจฝ่าบาทเลย แล้วทุกอย่างจะจบอยู่ตรงนี้
จาง : ข้าทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะข้ารักองค์หญิงซันวา ไม่ใช่เพราะข้าใจดำ แต่อย่างที่องค์หญิงว่า ข้ารู้ใจองค์หญิงดี ดังนั้นข้าไม่อาจกอดท่านเพื่อแลกกับบางอย่าง
4. วาทศิลป์แสดงภาพลักษณ์ด้านความมั่นคงในรัก
ตอนที่ 12 องค์หญิงซันวาบอกจางว่าพระบิดาของนาง อนุญาตให้ปลดจางและคนในสำนักฮานึลเจจากการเป็นทาสและให้ไปทำงานในวัง จางจึงตัดสินใจบอกความลับของเขาว่า เขาไม่ใช่ทาสชาวจีนแต่เป็นชาวเพ็กแจซึ่งเป็นเมืองศัตรูของชิลลา องค์หญิงเมื่อรู้ความจริงจึงโกรธจางมาก จางจำต้องอธิบายให้องค์หญิงเห็นถึงความรักที่เขามีต่อนางแม้ว่าจะมีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้นก็ตาม
จาง : หากเป็นเพราะฐานะที่ขวางกั้น ข้าก็จะเป็นกษัตริย์เพ็กแจเพื่อนาง หากเป็นเพราะฐานะที่แตกต่าง ข้าจะรวมเพ็กแจและชิลลาให้เป็นหนึ่ง ความรักเรายากตั้งแต่ต้น ไม่มีใครยอมรับหรือเชื่อในรักของเรา แต่ข้าก็จะฟันฝ่าไป ไม่มีใครยอมรับในตัวข้า ข้าทั้งขาดความสุขุมและวู่วาม แต่องค์หญิงก็ยอมรับข้า ท่านมอบดวงใจให้ข้า และข้าก็มอบดวงใจให้ท่าน ฉะนั้นข้าต้องทำให้สำเร็จ สำหรับข้านี้คือความหมายของการรักและการถูกรัก
ตอนที่ 46 องค์หญิงวูยงรู้สึกปวดใจว่าทำไมจางถึงรักหญิงชาวชิลลาได้เพียงนี้ แต่เมื่อฟังคำตอบของจาง นางจึงต้องยอมหลีกทางให้
จาง : คำว่ารักก็ไม่เพียงพอจะอธิบายความรู้สึกที่ข้ามีให้นาง เมื่อข้าต้องทนทุกข์เพราะเสียแม่ เมื่อข้าทิ้งชีวิตตนเองเพียงเพราะไม่รู้ว่าตนเป็นใคร เมื่อข้าต้องหนีหัวซุกหัวซุน หรือแม้แต่เมื่อข้าคอยดูแลพี่ชายข้า เจ้าชายอาจา นางอยู่ตรงนั้นเพื่อข้าเสมอ หญิงผู้นี้เป็นยิ่งกว่าชีวิตของข้า แล้วข้าจะยอมแลกชีวิตเพื่อเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร
ตอนที่ 46 หลังจากที่จางแก้ปัญหาเรื่องที่องค์หญิงวูยงบังคับให้จินกาคยองกลับแคว้นชิลลาได้แล้ว จางได้ต่อว่าพร้อมสั่งสอนองค์หญิงซันวา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปรความรักที่เขามีต่อนาง
จาง : ข้าจะพูดอย่างเดียวกับท่าน หากท่านอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นก็ควรบอกข้า จำได้ไหมที่ท่านเคยบอกข้า ตอนที่ข้าอยากจะหนีไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ท่านบอกว่าท่านจะไม่ไปไหน นี่เป็นทางเดียวที่จะรักษาดูแลความรักของเราไว้ นั่นคือสิ่งที่ข้าจะทำแต่นี้เป็นต้นไป แม้ต้องตาย...ไม่สิ...แม้ว่าท่านต้องทรมานเพราะข้า ข้าก็ไม่ให้ท่านไป...เข้าใจไหม...
ตอนที่ 53 จางในฐานะกษัตริย์มูได้ส่งสาสน์ไปยังกษัตริย์แห่งแคว้นชิลลาเพื่อสู่ขอองค์หญิงซันวา เนื้อความในสาสน์นั้นเต็มไปด้วยวาทศิลป์แห่งความรัก ความมั่นคง จนกษัตริย์ชิลลาถึงกับพอใจและยิ้มออกมา
จาง : ก่อนที่ข้าจะเป็นกษัตริย์ ข้ารักองค์หญิงในฐานะชายคนหนึ่ง ข้าต้องคุ้มครององค์หญิงในฐานะสามี ก่อนที่ข้าจะเป็นสามีข้าต้องให้เกียรติองค์หญิงในฐานะคู่ชีวิต ข้าสู่ขอองค์หญิงซันวาแห่งราชวงศ์ท่านมาเป็นราชินีหนึ่งเดียวของข้าและแคว้นเพ็กแจ องค์หญิงซันวาจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายของข้า
ตอนที่ 55 องค์หญิงซันวารู้ว่านางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจึงสั่งให้โมลาซูทำตะเกียงทองคำ หลังจากที่องค์หญิงสิ้นพระชนม์ โมลาซูได้นำตะเกียงมาถวายกษัตริย์มู พร้อมกับบอกถ้อยคำที่องค์หญิงฝากถึงกษัตริย์มูไว้ว่า “หากตะเกียงทองแดงเดิมเป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางอันเจ็บปวดในอดีตของฝ่าบาท ตะเกียงทองคำนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขของฝ่าบาท.... “ นางหวังว่า นี่คือชะตาลิขิต ในวันหน้าของฝ่าบาท แม้ถ้อยคำเหล่านี้จะทำให้กษัตริย์มูยิ้มได้ แต่ใจเขาไม่สามารถสงบได้ เพราะเขายังรักองค์หญิงซันวาไม่เปลี่ยนแปลง
จาง : แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่รู้ ข้าบอกท่านว่าโชคชะตามิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นทางที่เราเลือกเดินแม้ว่าเราอาจเลือกทางอื่นได้ แต่ว่ามีสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งในชีวิตที่ข้าไม่มีทางเลือกเป็นอื่น สิ่งที่ข้าไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้นั่นคือ ฮองเฮาของข้า ความปรารถนาที่ข้ามีต่อท่านเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรือหลบหนี นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าไม่อาจสงบใจได้แม้ว่าจะมีตะเกียงทองคำนี้ก็ตาม
ความเห็นด้วยของถ้อยคำที่มีวาทศิลป์ในบทสนทนาของตัวละคร
ภาพลักษณ์ที่เกาหลีได้สร้างขึ้นได้กลายเป็นกระแสที่คนไทยนิยมชมชอบไปแล้ว นี่คือความสำเร็จของชาติเกาหลีที่ก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ในขณะที่บางคนอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับเกาหลีในอีกมุมมองหนึ่ง ภาพลักษณ์ของเกาหลีในมุมมองของเขาอาจไม่ใช่แบบที่คนไทยชื่นชม เช่นเมื่อไปเกาหลีก็จะพบแต่ชาวเกาหลีที่พูดจากระโชกโฮกฮาก เป็นต้น ภาพลักษณ์จึงขึ้นอยู่กับข้อมูล ข้อเท็จจริงที่แต่ละคนมีและประเมิน ทุกชาติต่างสร้างภาพลักษณ์ที่ดีสู่สายตาคนภายนอก และสู่สายตาคนภายในสังคมตนเอง แต่สำหรับละครไทย กลับทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าละครไทยต้องการขายภาพลักษณ์ใด ดังที่ ครรลอง โลกาภิรมย์ (มติชน, 2550 : 22 )กล่าวว่า
ละครไทยยังเต็มไปด้วยบทกักขฬะ หยาบคาย ด่าทอ ตบตีกันจอกระจาย
หนังไทยเต็มไปด้วยคำหยาบที่เหมือนต้องการสะท้อนให้ทั้งโลกเห็น
ว่าเป็นชนชาติที่เก็บกด ทั้งที่ในความเป็นจริงคนไทยเป็นชนชาติที่อ่อนโยน
วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมของสุภาพชน แม้จะมีปัญหากับคน
ชาติเดียวกันอยู่บ้าง คนไทยไปที่ไหนไม่เคยมีปัญหากับคนทั้งโลก เป็นชน
ชาติที่ให้เกียรติกับชนชาติอื่นอย่างสูงส่งเสมอแต่สื่อทางวัฒนธรรมกลับนำเอาภาพในทางลบขึ้นมาเป็นสินค้า ผลิตกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
อาจกล่าวได้ว่าละครไทยนั้นละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม จนมีกระแสการจัดลำดับราย
การโทรทัศน์ขึ้นมา และมีการติงพฤติกรรมและคำพูดของดาราเมื่อออกมาผ่านสื่อ ถึงความเหมาะสมไม่เหมาะสม เพราะภาพลักษณ์ของดาราทุกด้านรวมทั้งการใช้ถ้อยคำได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการเลียนแบบของเยาวชนอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ผู้เขียนจึงสำรวจโดยการนำบทสนทนาที่มีวาทศิลป์และแฝงด้วยข้อคิดสอนใจทั้งของตัวละครเอกและตัวละครอื่นๆ ในละครเรื่องซอดองโย มาทำแบบสอบถาม ถามกลุ่มคน 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนที่ชมละครเรื่องนี้ จำนวน 9 คน กับกลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละครเรื่องนี้ จำนวน 6 คน
แบบสอบถามเป็นบทสนทนาโต้ตอบระหว่างตัวละคร จำนวน 8 บทสนทนาเพื่อศึกษาว่ากลุ่มผู้ตอบ 2 กลุ่ม เห็นด้วยกับถ้อยคำของตัวละครใด ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ตอบทั้ง 2 กลุ่ม มีคำตอบในทิศทางเดียวกัน จำนวน 4 บทสนทนา มีคำตอบที่แตกต่างกันจำนวน 4 บทสนทนา ตามรายละเอียดดังนี้
บทสนทนาที่กลุ่มผู้ตอบทั้ง 2 กลุ่ม ตอบในทิศทางเดียวกัน จำนวน 4 บทสนทนา
ตอนที่ 10
โมลาซู สำนักเรามีกฎห้ามสอนความรู้กับคนต่างแคว้นเพราะอาจถูกใช้ทำร้ายแคว้นเรา วิทยาการ
ช่วยคน แต่เฉพาะคนเพ็กแจเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่
จาง ทราบครับ สำหรับข้า สิ่งสำคัญคือช่วยคนที่ลำบาก หากข้าขโมยเรื่องอาวุธไปให้แคว้นอื่น
ก็เป็นอีกเรื่อง แต่คนพวกนั้นจะตายเพราะ “ซับเพียง“[1]
โมลาซู เขาเป็นคน ชิลลา!
จาง คนชิลลาก็เป็นคนเหมือนคนเพ็กแจ ! ความจริงแท้ในชีวิตคือความรู้เพื่อประโยชน์
มนุษยชาติ ความรู้ไม่มีขีดกั้นเรื่องเชื้อชาติ
โมลาซู แต่นักคิดทุกคนก็มีชาติต้องรับใช้
จาง คนต้องมาก่อน!
โมลาซู เจ้าทำลายโอกาสที่เพ็กแจจะใช้การค้นพบเตาหินเพื่อประโยชน์ทางการทูต โอกาส ที่เรามี
ความรู้เหนือกว่าแคว้นอื่น สุดท้ายเราก็ช่วยศัตรูนั่นแหละ
จาง แต่ว่า คนป่วยได้รับการรักษา ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น
โมลาซู เจ้ายึดถืออุดมการณ์ แต่ข้าพูดคือโลกของความจริง
จาง ข้ารับความจริงเช่นนั้นไม่ได้
โมลาซู ต้องรับได้!
[1] ซับเพียงคือโรคความชื้น (ซอดองโยสายใยรักสองแผ่นดิน, 2549 : 28)
ตอนที่ 10
โมลาซู ข้ารับผิดชอบเจ้าไม่ได้อีกต่อไป อย่างที่โมจินว่า ถ้าเจ้าไม่ใช่คนอันตราย ก็เป็นคนมีพรสวรรค์ ข้าควบคุมเจ้าไม่ได้ ข้าเข้าใจตอนที่เจ้าลืมคิดถึงความปลอดภัยตอนที่เจ้าคิดทำเตาปูน แต่ข้ารับไม่ได้เมื่อเจ้ายึดอุดมการณ์ไปช่วยคนต่างแคว้น และข้าก็รับไม่ได้กับการที่เจ้าคิดแผนการปล่อยข่าวลือเช่นนั้น อีกเหตุผลก็คือ.. ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้า ข้ายังคิดถึงยูนกาโม มันย้ำเตือนถึงความรักที่ข้ามีต่อนางและความเจ็บปวดที่นางทิ้งให้ข้า เจ้าทำให้
ข้ารู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด ดังนั้น...ข้าจึงทนเจ้าไม่ได้ ยามเจ้าแสดงความสามารถเช่นนักคิด ข้าก็เอ็นดูเจ้า แต่เมื่อเจ้าทำสิ่งที่บ้าบิ่น ข้าก็นึกถึงความเจ็บปวดจากแม่เจ้า แล้วข้าก็เกลียดเจ้า ไม่อาจอภัยเจ้า ข้าจึงเป็นอาจารย์เจ้าไม่ได้ แต่รัชทายาทนั้นต่างกัน จะทรงใช้ประโยชน์จากนิสัย 2 ด้านเจ้าได้ จะช่วยส่งเสริมเจ้าได้ ฉะนั้นเจ้าควรไป ไปเสียเถอะ
จาง ข้าไปไม่ได้ เพื่อเห็นกับท่านข้าก็อยากไป แต่ข้าไปไม่ได้ ข้าไม่รู้ทำไม แม่บอกให้
ข้าทำให้ท่านยอมรับนับถือให้ได้ ข้าไม่รู้แม่ต้องการเพียงให้อาจารย์ยอมรับข้าหรือแค่หวังให้ข้าเป็นยอดคน แต่กระนั้นข้าต้องทำตามที่แม่บอก แม้ว่านี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะยืนต่อหน้าพ่อได้อย่างภาคภูมิใจ เป็นทางเดียวที่ข้าจะรู้ว่าพ่อเป็นใคร ข้าเป็นใคร เหตุใดข้าจึงมีนิสัยขัดแย้งในตัวเอง นี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะรู้ทุกอย่าง ข้าต้องให้อาจารย์ยอมรับข้าให้ได้ ความรัก ความเกลียดที่อาจารย์มีต่อข้าโปรดแสดงออกมาอย่างที่คิด หากธรรมชาติให้แต่ความอบอุ่น มนุษย์ก็คงไม่ก้าวหน้า แต่ธรรมชาติมีความโหดร้าย ทำให้มนุษย์แกร่งขึ้นและผลักดันให้ก้าวหน้า เช่นเดียวกัน ข้าต้องการรับรู้ความรู้สึกทั้ง 2 ด้านที่อาจารย์มีต่อข้า เพื่อข้าจะได้เติบโต ข้าจะให้ท่านยอมรับข้า โปรดรับข้าไว้ด้วย
ตอนที่ 24
อาจา เจ้านึกว่าสาเหตุที่เจ้าไม่ได้เป็นรัชทายาท เป็นเพราะพ่อเจ้าไม่ได้เป็นกษัตริย์หรือ
ไม่ใช่สิ เป็นเพราะเจ้าขาดคุณสมบัติที่จะเป็นรัชทายาท เจ้าใช้คน หลอกใช้แล้วโยนทิ้ง เจ้าโกหก ข่มขู่พวกเขา เจ้ายังไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่น นี่ต่างหากที่ทำให้เจ้าเป็นรัชทายาทไม่ได้
พูโยซัน ท่านอาจจะคิดว่าตนเองสูงส่งและลึกล้ำ ที่มีสิทธิ์โดยชอบบนบัลลังก์ แต่ท่านไม่มี
อำนาจและกำลังทหารก็ต้องถอยไป
ตอนที่ 40
จาง ฆ่าชาวบ้านเพื่ออะไร รากฐานของกษัตริย์ คือชาวบ้านไม่ใช่หรือ ฆ่าชาวบ้าน เพื่อให้ได้
ตำแหน่ง ถ้าไม่รู้ทำเพื่ออะไรก็ถือว่าสูญเปล่า
คีรู ตำราว่ารากฐานของกษัตริย์ ก็คือชาวบ้าน มันไม่จริงหรอก มันแค่คำหลอกลวง แค่เขียน
ไว้เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อฟัง กษัตริย์ เท่านั้น เอาไว้หลอกชาวบ้าน ถ้าไม่หลอกไว้ชาวบ้านอาจ
แข็งข้อได้
บทสนทนาที่กลุ่มผู้ตอบทั้ง 2 กลุ่ม ตอบในทิศทางแตกต่างกัน จำนวน 4 บทสนทนา
ตอนที่ 40
คีรู เพื่อแก้แค้นส่วนตัว เจ้าจึงดึงองค์หญิงซันวามาเกี่ยว ไหนว่ารักนางยิ่งกว่าชีวิตไง ทำไม
ให้นางทำเรื่องเช่นนี้
จาง ข้ารู้มันไม่ถูก แต่องค์หญิงทำทุกอย่างเพื่อข้า เพียงเพื่อข้าเท่านั้นโดยไม่มีเงื่อนไข นาง
ยอมทุกอย่าง เจ้าไม่มีวันเข้าใจ เจ้าไม่เข้าใจหรอก
ตอนที่ 16
อาจา เจ้าคิดว่าทหารจะเชื่อมั่นแม่ทัพที่โกหกหลอกลวงหรือ
พูโยซัน ใครว่าทหารไม่เชื่อมั่นแม่ทัพที่โกหก ทหารไม่เชื่อแม่ทัพที่พ่ายแพ้ต่างหาก
ตอนที่ 22
อาจา ข้าสั่งให้เจ้าเปลี่ยนคำตัดสินของอาจารย์โมลาซูและจาง จะส่งพวกเขาไป โซยุนโด เพราะ
เรื่องแค่นี้หรือ
วูยง ข้ารับผิดชอบการสอบสวนนี้เองในฐานะหัวหน้าสำนัก ข้ามีสิทธิ์จะตัดสิน รัชทายาทจะก้าว
ก่ายหรือ
อาจา ข้ารู้จักพวกเขาดี ฉะนั้นเปลี่ยนคำตัดสินเสีย
วูยง ท่านใช้อำนาจรัชทายาทสั่งการข้าในฐานะหัวหน้าทาฮักซาหรือ พวกเขารู้กฎเกณฑ์สำนัก
ทาฮักซาดี หัวหน้าสำนักคือข้า เป็นผู้ตัดสิน เหตุใดทรงขัดขวางไม่ให้ข้าทำสิ่งที่ถูกต้อง
กลุ่มคนที่ชมละคร
กลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละคร
เห็นด้วยกับถ้อยคำของวูยง
44.44 %
66.67 %
เห็นด้วยกับถ้อยคำของอาจา
22.22 %
33.33 %
เห็นด้วยกับถ้อยคำของทั้งคู่
33.33 %
-
ตอนที่ 27
จาง หลอกลวงพวกเราที่ฮานึลแจ หลอกลวงอาจารย์หรือ ทำเพื่อ...ขโมยวิชาความรู้ของเพ็กแจ
ทำไม ทำไมไม่บอกข้าสักคำ กลับทำเช่นนี้ ทำไมทำเรื่องเช่นนี้
ซันวา ข้า...ไม่เพียงเป็นหญิงคนรักของท่านซอดง ข้า..ยังเป็นองค์หญิงแห่งชิลลา ในสายตาคน
ฮานึลแจ คีรู..เป็นสายลับที่แฝงตัวมา แต่ว่า..หากมองในมุมของ ชิลลา เขาเป็นผู้จงรักภักดี
อย่างมิต้องสงสัย
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละคร ไม่มีภาพลักษณ์ของตัวละครมากระทบการตัดสินใจ จะมุ่งเน้นเนื้อหาสาระของถ้อยคำเพียงประการเดียว ในขณะที่กลุ่มคนที่ชมละครซึ่งมีข้อมูลมากกว่า จึงนำข้อมูลและประสบการณ์ที่มีมาประกอบการตัดสินใจ
การนำภาพลักษณ์หรือไม่นำภาพลักษณ์มาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินถ้อยคำนั้นเปรียบดัง ดาบ 2 คม ในกรณีที่ไม่มีข้อมูล ไม่รู้ว่าคนพูดมีพื้นฐานเช่นไรก็อาจทำให้ตัดสินเข้าข้างคนผิดเพราะถ้อยคำของเขาก็ได้ เช่น จากบทสนทนาของอาจากับพูโยซัน ตอนที่ 16 นั้น หากผู้อ่านไม่มีข้อมูล ถ้อยคำของพูโยซันดูน่าเห็นด้วยมากกว่า กลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละครจึงเห็นด้วยกับถ้อยคำของพูโยซัน ในจำนวน 66.67% ในขณะที่กลุ่มคนที่ชมละครนั้นเห็นด้วยกับถ้อยคำของทั้งคู่ในระดับที่เท่าๆกัน แม้คำพูดของพูโยซันมีส่วนถูก แต่กลุ่มคนที่ชมละครก็ทราบว่า พูโยซันได้หลอกใช้จางแล้วกลับคำที่ให้สัญญาไว้ ในขณะที่อาจานั้นดำเนินยุทธวิธีทางการทูตมากกว่าการทำสงคราม แต่พูโยซันกลับมองว่าอาจาเป็นพวกขี้แพ้ ทำให้ผลการตัดสินใจของกลุ่มคนที่ชมละครไม่ชัดเจนไปยังตัวละครคนใดคนหนึ่ง
จากบทสนทนาของวูยงกับอาจา ตอนที่ 22 ดูเหมือนว่าวูยงมีเหตุผล จึงทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละครเห็นด้วยกับถ้อยคำของวูยง 66.67 % ขณะที่ผลการตัดสินของกลุ่มคนที่ชมละครมีทั้งเห็นด้วยกับวูยง เห็นด้วยกับอาจา และเห็นด้วยกับทั้งวูงยงและอาจา เพราะกลุ่มคนที่ชมละครทราบว่าเบื้องหลังนั้นเป็นเรื่องความผิดเพียงเล็กน้อยแล้วนำมาเป็นเรื่องใหญ่เพื่อหาทางกำจัดจางและโมลาซูโดยให้รับโทษสถานหนักคือส่งไปยังเกาะที่ใช้แรงงานทาส อาจาจึงเห็นว่าหากขอร้องคงไม่ได้ผลจึงได้ใช้อำนาจของรัชทายาทแทนแต่ก็จำนนด้วยเหตุผลซึ่งดูเหมือนเป็นสิ่งถูกต้องแต่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม
เช่นเดียวกับตอนที่ 27 ถ้อยคำของซันวาที่มีส่วนที่มีเหตุผล ทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้ชมละครเห็นด้วยกับถ้อยคำของซันวาถึง 100 % ขณะที่กลุ่มคนที่ชมละครแม้เห็นด้วยกับถ้อยคำของซันวา แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะทราบว่าการที่ซันวาปิดบังความจริงก็ทำให้คนในสำนักฮานึลแจต้องตายเพราะฝีมือของทหารฝ่ายคีรู จึงมีกลุ่มคนที่ชมละครเห็นด้วยกับถ้อยคำของจาง และเห็นด้วยกับถ้อยคำของทั้งจางและซันวาด้วย
การศึกษาครั้งนี้จึงอาจเป็นการยืนยันได้ว่า การมีหรือไม่มีข้อมูลมีผลต่อการตัดสินถ้อยคำของคนได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนได้ศึกษาปัจจัยเดียวคือกลุ่มคนที่ชมละครและรู้จักบทบาทของตัวละครในเรื่อง กับบุคคลที่ไม่ได้ชมละครเรื่องนี้ หากนำตัวแปรอื่นๆ เช่น เพศ วัย หรือการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถามมาร่วมศึกษาด้วยอาจได้ผลการศึกษาที่แตกต่างออกไปก็เป็นได้
บทสรุป
จากการวิเคราะห์และศึกษาผู้เขียนเห็นว่าภาพลักษณ์ของแต่ละคนขึ้นอยู่กับมุมมองและการประเมินตามประสบการณ์หรือข้อเท็จจริงที่คนอื่นมีต่อคนคนนั้น และภาพลักษณ์ของคนที่ผู้ประเมินมองอาจเปลี่ยนไปเมื่อผู้ประเมินได้ข้อมูลใหม่และประเมินใหม่ ถ้อยคำวาทศิลป์นั้นจะเป็นที่เชื่อถือหรือไม่ ภาพลักษณ์ก็ถือเป็นส่วนประกอบในการตัดสินถ้อยคำนั้นได้ จากการวิเคราะห์ผู้เขียนยังพบอีกว่าหากคนนั้นมีภาพลักษณ์ที่สม่ำเสมอ คงที่ ไม่ว่าจะต่อหน้าใคร จะสร้างถ้อยคำเช่นไร ก็ย่อมได้รับมุมมองที่ตรงกัน อย่างเช่น ภาพลักษณ์ของจาง แม้ฝ่ายศัตรูยังเห็นพ้องต้องกัน ถึงความมุ่งมั่นและความมีคุณธรรมสูงส่ง
การตัดสินที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยจากถ้อยคำที่มีวาทศิลป์โดยอาศัยภาพลักษณ์ของผู้พูดเป็นส่วนประกอบ อาจมีผลกระทบทั้งในทางบวกและในทางลบ เช่นเดียวกันหากไม่มีภาพลักษณ์หรือข้อมูลก็อาจส่งผลกระทบทั้งสองทางเช่นกัน อย่างไรก็ตามละครแทบทุกเรื่องไม่ว่าของชาติใด ต่างสร้างตัวเอกให้มีภาพลักษณ์ในเชิงอุดมคติคือมีคุณธรรมสูงส่ง ซึ่งในชีวิตจริงทุกสังคมก็มุ่งหวังการมีภาพลักษณ์ที่ดี มีคุณธรรม ต่อสู้เพื่อส่วนรวม คนที่มีภาพลักษณ์ดีมักมีคนนำวาทะของเขามาเป็นข้อคิดสอนใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเมื่อเจ้าของวาทะนั้นล่วงลับไปแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันในชีวิตจริงเราก็พบเห็นคนใช้ประโยชน์จากวาทศิลป์มากมาย ซึ่งเจ้าของวาทศิลป์นั้นไม่จำเป็นต้องมีภาพลักษณ์ตามความมุ่งหวังของผู้ฟังหรือผู้อ่านเสมอไป เราจึงเห็นความไม่รับผิดชอบของคนต่อวาทศิลป์ของตนอยู่เสมอ แม้กระทั่งระดับปรมาจารย์แห่งยุคกรีกโบราณเช่น เพลโตยังยอมรับต่อความจริงข้อนี้ ดังที่ฮิวห์ เทรดเดนนิค ( 2550 : (23)) กล่าวไว้ในคำนำในหนังสือเรื่อง เพลโต วันสุดท้ายของโสคราตีส ดังนี้
เพลโตรู้เรื่องนี้ดี เขารู้ด้วยว่าระเบียบวิธีที่แตกต่างย่อมเป็นเสน่ห์ดึงดูด
ใจที่แตกต่าง และถึงแม้ว่าเขาตำหนิการใช้วาทศิลป์ไปในทางที่ไม่รับผิดชอบ
เขาก็ใช้วิธีการดึงดูดและหนทางการใช้ภาษาทุกรูปแบบเพื่อให้บังเกิดผลที่
เขาต้องการ มิใช่ว่าการไต่สวนถกเถียงจะกระชับด้วยเหตุผลทุกเรื่อง บางเรื่อง
เพียงเป็นพิธีการ บางเรื่องเป็น ‘สามัญสำนึก’ บางเรื่องมีอารมณ์ขัน..
เอกสารอ้างอิง
ครรลอง โลกาภิรมย์. (2550, มีนาคม, 11). เกาหลีในมายาภาพ. มติชน, 22.
ซอดองโยสายใยรักสองแผ่นดิน. (2549). มปท.: มปพ.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นาน
มีบุ๊คส์พับลิเคชั่น, 1488 หน้า.
รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ..(2550). กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์เพื่อส่งเสริมการตลาดของธุรกิจ.,
1 สิงหาคม 2550. http://www.utcc.ac.th/amsar/about/document13.html
เรื่องย่อ Soe Dong Yo. (2550). 11 มีนาคม 2550. http://popcornfor2.com/dramas/
seodongyo_review.php. Gikgak แปลและเรียบเรียง.
วิรัช ลภิรัตนกุล. (2543). วาทนิเทศและวาทศิลป์ : หลักทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ ยุคสหัสวรรษ
ใหม่. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . 425 หน้า.
ฮิวห์ เทรดเดนนิค. (2550). เพลโต วันสุดท้ายของโสคราตีส. อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนพับลิชชิ่ง.
กิ่งแก้ว อัตถากร แปล.
Hou Leng Jai Good Looking Guy. (2007). Soe Dong Yo Cast of characters. Retrieved
September 10, 2007, from http://www.redshift.com/~lorac/seodongyo8.htm
Newnewna. มปป. ซอดองโย. (วีดิทัศน์). กิ๊ก บรรยายภาษาไทย.
Wikipedia, the free encyclopedia. (2007). Mu of Baekje. Retrieved April 23, 2007, from
http://en.wikipedia.org/wiki/Mu_of_Baekje
Monday, June 8, 2009
Friday, June 5, 2009
งานกับความสุข4
เคล็ดลับในการสร้างความสุขคือเราจะต้องเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา
ชีวิตที่ดีคือ ชีวิตที่มีโอกาสได้ฝึกฝนตนเองมากๆ คนที่ทำงานควรดีใจ่เราเป็นคนที่มีโอกาสฝึกตัวเอง
ต่อไปนี้ท่าย ป.ปยุตโตจะนำเสนอเคล็ดความสำเร็จของคนเรา นี่นับเป็นความโชคดีที่วันนี้เราได้หยิบมาอ่าน
เราจะสรุปเก็บไว้
มนุษย์เป็นสัตย์ต้องพัฒนาตัวเองมาตั้งตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักและอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับสัตรว์ที่เกิดมาพร้อมกับสัญชาติญาน เกิดมาเดินได้เลยแทบจะทันทีเช่น เป็ด ห่าน ออกจากใข่วันนั้ก็เดินได้ทันที วิ่งได้ทันที ว่ายน้ำได้ทันทีหากินได้ทันที แต่มนุษย์นี่แรกเกิดยังช่วยตัวเองไม่ได้เลยต้องมีผู้อื่นดุและ สองปีก็แล้ว สามสี่ปีก็แล้ว ห้าปีก็แล้ว ก็ยังช่วยตัวเองให้อยู่รอดไม่ได้
ในช่วงเวลาที่ทำเนินชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้นั้นมนุษย์ทำอย่างไร มนุษย์ก็ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่เกิดมามนุษย์ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะกิน เดิน นั่ง นอน ยืนขับถ่าย ก็ต้องเรียนรู้ทั้งนั้น ต้องหัดฝึกฝนมาจึงจะอยู่ได้
ง่ายๆคือ การดำเนินชีวิตของมนุษยืนี้แปลกไปจากสัตว์ทั้งหลายอื่นๆมนุษย์ไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ต้องลงทุน ด้วยการเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง
ข้อเสียเปรียบของมนุษย์ก็กลายเป็นข้อได้เปรียบ คือ การฝึกฝน เรียนรู้ พัฒนาตจัวเองได้นี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่ประเสรฐที่สุด พอมนุษย์รู้จักเรียนรู้อะไรได้เองแล้ว ไว่อะไรก็จะทำได้หมด
มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่สัตว์เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น แต่มนุษย์อย่างไรก็ได้อย่างนั้น อยู่ที่ว่าจะต้องการฝึกหรือไม่ นี่แหละความสามารถของมนุษย์
จะเห็นว่ามนุษย์สามารถพัฒนาสติปัญญาจนสามารถปรุ่งแต่งสร้างสรรค์ประดิษฐ์สิ่งต่างๆได้มากมาย จนมีอุปกรณ์เทคโนโลยีเต็มไปหมด จนบางที่มนุษย์เองก็ลืมธรรมชาตของตัวเองไป เช่นชีวิตคนเรา ตื่นเช้า ทำงาน นั่งรถ กลับบ้าน นอน อยู่อย่างนี้ทุกวันไม่เคยเห็นธรรมชาติเลย ก็เลยไม่รู้ตัวว่าด้แปลกแยกจากธรรมชาติ
จริงแล้วมนุษย์สู้สัตว์อื่นไม่ได้เลย มนุษย์จะดีเลิศประเสริฐกว่าสัตว์ก็อยู่ที่การฝึกฝนเรียนรู้เท่านั้น
เมื่อเรารู้ธรรมชาติอย่างอย่างนี้แล้ว ถ้าเราต้องการมีชชวิตที่ดีงามประเสริฐเราก็ต้องฝึกฝนตัวเอง ต้องสร้างจิตสำนึกขึ้นมาเลยว่าจะต้องเป็นอยู่ด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตัวเองอย่างไม่ยอมหยุดละก็ เราก็จะเลศประเสริฐกว่านี้อีกมาก คนจำจำนวนมากใม่ใช่หลักธรรมชาติของมนุษย์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เลยฝึกหัดอะไรด้วยความจำใจ จำเป็น เท่าที่ตัวพออยู่ได้
คนจำนวนมาฝึกตัวเองพออยู่ได้เท่านั้นเอง พอกินได้ พอพูดได้ พอหากินได้ ก็หยุดแล้ว ไม่ฝึกต่อ แตคนที่รู้หลักอย่างนี้และจะฝึกไม่หยุด เมื่อเราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอชีวิตก็จะประเสริฐ ดีงาม
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับความสำเร็จจากท่าน ป.ปยุตโต
คนที่เขาประสบความสำเร็จมากมายบางทีเขาอาจไม่มีพื้นเดิมอะไรดีกว่าเราหรอก แต่เขาฝึกตนเองไม่หยุด เรียนรู้พัฒนาเรื่อยไป เขาก็เป็นเลิศได้ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
จำหลักของพระไว้ไห้ดีว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานได้ด้วยการฝึก ฝึกแล้วไม่ใช่จะดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ประเสริฐยิ่งกว่าพรหม เทวดาเสียอีก ฝึกได้จนกระทั่งว่าเทวดาและพระพรหมก็มากราบไหว้มนุษย์ ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างสิ
ฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ อย่ามัวหลงเพลิดเพลินหรือท้อใจ ต้องใจฝึกฝนพัฒนาตนให้ดีที่สุด แล้วเราจัมีความประเสริฐเป็นเลิศ จนกระทั่งเทวดาและพรหมก็มาไหว้
เมื่อมนุษย์ฝึกฝนพัฒนาชีวิตของตนขึ้นไปนั้น เขาก้พัฒนาความสุขขึ้นไปด้วย
ชีวิตที่ดีคือ ชีวิตที่มีโอกาสได้ฝึกฝนตนเองมากๆ คนที่ทำงานควรดีใจ่เราเป็นคนที่มีโอกาสฝึกตัวเอง
ต่อไปนี้ท่าย ป.ปยุตโตจะนำเสนอเคล็ดความสำเร็จของคนเรา นี่นับเป็นความโชคดีที่วันนี้เราได้หยิบมาอ่าน
เราจะสรุปเก็บไว้
มนุษย์เป็นสัตย์ต้องพัฒนาตัวเองมาตั้งตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักและอย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับสัตรว์ที่เกิดมาพร้อมกับสัญชาติญาน เกิดมาเดินได้เลยแทบจะทันทีเช่น เป็ด ห่าน ออกจากใข่วันนั้ก็เดินได้ทันที วิ่งได้ทันที ว่ายน้ำได้ทันทีหากินได้ทันที แต่มนุษย์นี่แรกเกิดยังช่วยตัวเองไม่ได้เลยต้องมีผู้อื่นดุและ สองปีก็แล้ว สามสี่ปีก็แล้ว ห้าปีก็แล้ว ก็ยังช่วยตัวเองให้อยู่รอดไม่ได้
ในช่วงเวลาที่ทำเนินชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้นั้นมนุษย์ทำอย่างไร มนุษย์ก็ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ตั้งแต่เกิดมามนุษย์ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะกิน เดิน นั่ง นอน ยืนขับถ่าย ก็ต้องเรียนรู้ทั้งนั้น ต้องหัดฝึกฝนมาจึงจะอยู่ได้
ง่ายๆคือ การดำเนินชีวิตของมนุษยืนี้แปลกไปจากสัตว์ทั้งหลายอื่นๆมนุษย์ไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ต้องลงทุน ด้วยการเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง
ข้อเสียเปรียบของมนุษย์ก็กลายเป็นข้อได้เปรียบ คือ การฝึกฝน เรียนรู้ พัฒนาตจัวเองได้นี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ที่ประเสรฐที่สุด พอมนุษย์รู้จักเรียนรู้อะไรได้เองแล้ว ไว่อะไรก็จะทำได้หมด
มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่สัตว์เกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น แต่มนุษย์อย่างไรก็ได้อย่างนั้น อยู่ที่ว่าจะต้องการฝึกหรือไม่ นี่แหละความสามารถของมนุษย์
จะเห็นว่ามนุษย์สามารถพัฒนาสติปัญญาจนสามารถปรุ่งแต่งสร้างสรรค์ประดิษฐ์สิ่งต่างๆได้มากมาย จนมีอุปกรณ์เทคโนโลยีเต็มไปหมด จนบางที่มนุษย์เองก็ลืมธรรมชาตของตัวเองไป เช่นชีวิตคนเรา ตื่นเช้า ทำงาน นั่งรถ กลับบ้าน นอน อยู่อย่างนี้ทุกวันไม่เคยเห็นธรรมชาติเลย ก็เลยไม่รู้ตัวว่าด้แปลกแยกจากธรรมชาติ
จริงแล้วมนุษย์สู้สัตว์อื่นไม่ได้เลย มนุษย์จะดีเลิศประเสริฐกว่าสัตว์ก็อยู่ที่การฝึกฝนเรียนรู้เท่านั้น
เมื่อเรารู้ธรรมชาติอย่างอย่างนี้แล้ว ถ้าเราต้องการมีชชวิตที่ดีงามประเสริฐเราก็ต้องฝึกฝนตัวเอง ต้องสร้างจิตสำนึกขึ้นมาเลยว่าจะต้องเป็นอยู่ด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตัวเองอย่างไม่ยอมหยุดละก็ เราก็จะเลศประเสริฐกว่านี้อีกมาก คนจำจำนวนมากใม่ใช่หลักธรรมชาติของมนุษย์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เลยฝึกหัดอะไรด้วยความจำใจ จำเป็น เท่าที่ตัวพออยู่ได้
คนจำนวนมาฝึกตัวเองพออยู่ได้เท่านั้นเอง พอกินได้ พอพูดได้ พอหากินได้ ก็หยุดแล้ว ไม่ฝึกต่อ แตคนที่รู้หลักอย่างนี้และจะฝึกไม่หยุด เมื่อเราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอชีวิตก็จะประเสริฐ ดีงาม
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับความสำเร็จจากท่าน ป.ปยุตโต
คนที่เขาประสบความสำเร็จมากมายบางทีเขาอาจไม่มีพื้นเดิมอะไรดีกว่าเราหรอก แต่เขาฝึกตนเองไม่หยุด เรียนรู้พัฒนาเรื่อยไป เขาก็เป็นเลิศได้ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
จำหลักของพระไว้ไห้ดีว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานได้ด้วยการฝึก ฝึกแล้วไม่ใช่จะดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ประเสริฐยิ่งกว่าพรหม เทวดาเสียอีก ฝึกได้จนกระทั่งว่าเทวดาและพระพรหมก็มากราบไหว้มนุษย์ ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างสิ
ฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ อย่ามัวหลงเพลิดเพลินหรือท้อใจ ต้องใจฝึกฝนพัฒนาตนให้ดีที่สุด แล้วเราจัมีความประเสริฐเป็นเลิศ จนกระทั่งเทวดาและพรหมก็มาไหว้
เมื่อมนุษย์ฝึกฝนพัฒนาชีวิตของตนขึ้นไปนั้น เขาก้พัฒนาความสุขขึ้นไปด้วย
งานกับความสุข3
ทำสวนก็ต้องการให้ต้นไม่เจริญเติบโต เรียก ฉันทะ
ทำสวนก็ต้องการเงิน เรียก ตัณหา
การทำงานอย่างหลังเป็นการขับไล่ความสุขหรือวิ่งไล่ความสุข เพราะเราจะมองและโหยหาความสุขที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา
คนจำนวนมากมองความสุขไปที่ไหน ตอบว่ามองไปที่การได้เสพได้บริโภคตือ ตาได้ดูสิ่งสวยงาม หูได้ฟังเสียงไพเราะ จมูกได้ดมกลิ่นหอม ลิ้นได้ลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอร่อย กายได้สมัผัสที่นุ่มนวล ใจได้คิดฝันในอารมณ์อยากได้อยากเสพที่เพลิดเพลิน คนเราที่ต้องการความสุข มักจะมองไปที่วัตถุและสิ่งบริโภคดังกล่าว แต่ถ้าเรามุ่งหาความสุขอยู่แค่สิ่งเหล่านี้ เราก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุภายนอกโดยที่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง หมดอิสระภาพ ยิ่งอยู่ไปในโลกนานๆ เราก็เอาชีวิตและคงามสุขไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก
ผลที่ตามมาเราก็จะต้องมีปริมาณวัตถุเสพและบิรโถคมาขึ้นๆจึงจะมีความสุขได้
เรายังอยากใช้ชีวิตบนโลกนี้อยากมีความสุขไหม
งั้นเราก็ต้องมีอิสระภาพ ก็คือ การที่เรายังสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเองอยู่บ้าง หรือเป็นความสุขง่ายๆพอสมควร
ข้อสังเกตุเกตุคือ คนในยุคปัจจุบันเป็นสุขได้ยากขึ้นและยิ่งอยู่นานๆไปก็ยิ่งสุขได้ยากขึ้นๆ
กระทั่งเด็ก
ถ้าเราเก่งจริง เราอยู่บนโลกนานเข้า เราก็ยิ่งต้องเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ถ้าเราถามตัวเองแล้วต้องตอบว่าสุขยาก นั่นก็หมายความว่าชีวิตเดินผิดทางแล้ว เราก็จะสูญเสียอิสระภาพลงไปทุกทีๆเพราะไม่เก่งจริง ถ้าเก่งจริงต้องเป็นคนที่สุขง่ายขึ้น
ถ้าข้าในก็สุขง่ายขึ้นและข้างนอกก็วัตถุหรือหาเงินเก่งขึ้นเราก็สุขสองทาง คนสว่นมากมักพัฒนาแต่ความสามารถหาสิ่งเสพภายนอก ทั้งที่หามาได้ แต่งในหมดความสามารถที่จะมีความสุข
เป็นอันว่า สิ่งที่เราจะต้องทำไห้ไดคือในตอนนี้ คือ ทำไห้การงานเป็นแหล่งที่มาของความสุขตลอดเวลาของเราให้ได้ นี่คือสิ่งท้าท้าย เพราะการทำงานทำการนเป็นชีวิตส่วนใหญของเรา ทำไม่ได้เราก็เป็นแบบเดียวก็คนส่วนใหญ่ เราก็ได้เห็นแล้วว่ามันไม่น่าอยู่เท่าไร
ทำสวนก็ต้องการเงิน เรียก ตัณหา
การทำงานอย่างหลังเป็นการขับไล่ความสุขหรือวิ่งไล่ความสุข เพราะเราจะมองและโหยหาความสุขที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา
คนจำนวนมากมองความสุขไปที่ไหน ตอบว่ามองไปที่การได้เสพได้บริโภคตือ ตาได้ดูสิ่งสวยงาม หูได้ฟังเสียงไพเราะ จมูกได้ดมกลิ่นหอม ลิ้นได้ลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอร่อย กายได้สมัผัสที่นุ่มนวล ใจได้คิดฝันในอารมณ์อยากได้อยากเสพที่เพลิดเพลิน คนเราที่ต้องการความสุข มักจะมองไปที่วัตถุและสิ่งบริโภคดังกล่าว แต่ถ้าเรามุ่งหาความสุขอยู่แค่สิ่งเหล่านี้ เราก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุภายนอกโดยที่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง หมดอิสระภาพ ยิ่งอยู่ไปในโลกนานๆ เราก็เอาชีวิตและคงามสุขไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก
ผลที่ตามมาเราก็จะต้องมีปริมาณวัตถุเสพและบิรโถคมาขึ้นๆจึงจะมีความสุขได้
เรายังอยากใช้ชีวิตบนโลกนี้อยากมีความสุขไหม
งั้นเราก็ต้องมีอิสระภาพ ก็คือ การที่เรายังสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเองอยู่บ้าง หรือเป็นความสุขง่ายๆพอสมควร
ข้อสังเกตุเกตุคือ คนในยุคปัจจุบันเป็นสุขได้ยากขึ้นและยิ่งอยู่นานๆไปก็ยิ่งสุขได้ยากขึ้นๆ
กระทั่งเด็ก
ถ้าเราเก่งจริง เราอยู่บนโลกนานเข้า เราก็ยิ่งต้องเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น ถ้าเราถามตัวเองแล้วต้องตอบว่าสุขยาก นั่นก็หมายความว่าชีวิตเดินผิดทางแล้ว เราก็จะสูญเสียอิสระภาพลงไปทุกทีๆเพราะไม่เก่งจริง ถ้าเก่งจริงต้องเป็นคนที่สุขง่ายขึ้น
ถ้าข้าในก็สุขง่ายขึ้นและข้างนอกก็วัตถุหรือหาเงินเก่งขึ้นเราก็สุขสองทาง คนสว่นมากมักพัฒนาแต่ความสามารถหาสิ่งเสพภายนอก ทั้งที่หามาได้ แต่งในหมดความสามารถที่จะมีความสุข
เป็นอันว่า สิ่งที่เราจะต้องทำไห้ไดคือในตอนนี้ คือ ทำไห้การงานเป็นแหล่งที่มาของความสุขตลอดเวลาของเราให้ได้ นี่คือสิ่งท้าท้าย เพราะการทำงานทำการนเป็นชีวิตส่วนใหญของเรา ทำไม่ได้เราก็เป็นแบบเดียวก็คนส่วนใหญ่ เราก็ได้เห็นแล้วว่ามันไม่น่าอยู่เท่าไร
ทำงานยังไงจึงจะประสานกับความสุข2
ถ้าเราหลงสมมุติเมื่อไรก็จะเกิดปัญหาเมื่อนั้น คือว่าถ้าเราทำงานตามแค่ผลสมมุติ หรือเงิน แต่ไม่ต้องการผลตามธรรมชาติ คือไม่ต้องการให้ต้นไม่เจริญงอกงามหากเป็นอย่างนี้เราก็จะทำงานด้วยความทุกเพราะตลอดเวลาทั้งหมดซึ่งเป็นเวลาของการทำงาน เราไม่ได้นึกถึงความเจริญของต้นไม้มันจะเจริญงอกงามหรือไม่ เราก็ไม่ใส่ใจแต่ใจเราไปรอที่เงินตลอดเวลาที่ทำงาน การทำงานก็เลยเหมือนเป็นงานทรมาน ที่วายังไม่ได้เงินเสียที เมื่อไรเว้ยเงินจะมา ระหว่านี้เราก็จำต้องทำสวนไปด้วยการทำสวนอย่างนี้จึงเป็นความทุกข์ไปตลอดเวลา
นี่แหละโลกมนุษย์ซึ่งมีความซับซ้อนที่มนุษย์ทำขึ้นเอง
เราสร้างระบบสังคมขึ้นเพื่อมาหนุนระบบธรรมชาติ แต่แล้วเราก็ไปหลงติดมันเสีย แล้วเราก็ทำไห้ชีวิตของเราเองห่างเหินแปลกแยกจากความเป็นจริงของธรรมชาติ ปัญหาขั้นพื้นฐานอยู่ตรงนี้
เพราะฉะนั้นคนใดที่สามรถดำเนินชีวิตให้ตรงกับกฏของธรมชาติได้คือต้องการผลที่ตรงตามเป็นจริงเขาจะทำงานด้วยความสุข นี่เป็นขั้นที่หนึ่ง
นี่แหละโลกมนุษย์ซึ่งมีความซับซ้อนที่มนุษย์ทำขึ้นเอง
เราสร้างระบบสังคมขึ้นเพื่อมาหนุนระบบธรรมชาติ แต่แล้วเราก็ไปหลงติดมันเสีย แล้วเราก็ทำไห้ชีวิตของเราเองห่างเหินแปลกแยกจากความเป็นจริงของธรรมชาติ ปัญหาขั้นพื้นฐานอยู่ตรงนี้
เพราะฉะนั้นคนใดที่สามรถดำเนินชีวิตให้ตรงกับกฏของธรมชาติได้คือต้องการผลที่ตรงตามเป็นจริงเขาจะทำงานด้วยความสุข นี่เป็นขั้นที่หนึ่ง
ทำไงจะให้งานประสานกับความสุขได้
ป.ปยุตโต บอกว่าจริงๆแล้วงานกับมันไม่ใช่คนละพวก มันเป็นพวกเดียวกันได้ โดยธรมมชาติงานและความสุขเนี่ยมันมาด้วยกัน งานมาได้ทั้งความทุกข์และความสุข อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติผิดหรือปฏิบัติถูก ถ้าปฏิบัติถูกงานก็จะมีความสุข ถ้าปฏิบัติผิดงานก็จะมีความทุกข์
ตัวอย่าง
เราเรียกการทำสวนว่างานชนิดหนึ่ง คนที่จะทำสวนก็ต้องมีจุกมุ่งหมายว่า จะทำสวนทำไม งานคือการทำสวนนั้นเกิดจากมีความมุ่งหมายก่อน ความมุ่งหมายคืออะไร คือต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงามไง เราต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงาม เราจึงไปทำสวน
ไม่ต้องรอให้ถึงถึงจุดมุ่งหมายหรอก แม้กระทั่งระหว่างนั้นถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี งานเดินคืบหน้าไปสู้จุดมุ่งหมาย ไกล้เข้าไปๆ เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ มีความสุขไปเรื่อย
แต่จริงๆนะคนเรานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน คือเวลาเราทำงานไปๆบางทีก็ลืมสนิทเลยว่าเราไม่ได้ดำเนินชิวิตไปตามกฏธรรมชาติคือถ้างานเราไม่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวงานนั้น ผลที่ได้รับก็ย่อมไม่เป็นความต้องการ ตอนนี้แหละจะเกิดเรื่องที่เป็นปัญหาขึ้น
พูดถึงระบบความสัมพันธืในสังคมที่ซับซ้อน ก็จะมีความก้าวหน้าอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ การสมมติ
เอาละยกตัวอย่างเรื่องการทำสวนอีกที
ลที่ที่แท้ของการทำสวนก็คือได้ต้นไม่ที่เจริญงอกงามแล้วเราก็มีความสุข เพราะมันเป็นไปตามประสงค์ของเราแล้ว แต่ในโลกปัจจุบันนี่สิ มนุษย์พอเจริญขึ้น ก็สร้างระบบทางสังคม ในระบบนี้ มีสิ่งสมมุติเกิดขึ้น สมุมติยังไง ตัวอย่างทำสวนต่อ
ทำสวนเป็นงานชนิดหนึ่งในสังคม เมื่อทำไปแล้วจะได้รับผลตอบแทน คือ เงิน
ทำไห้มองเห็นว่าการได้เงินเป็นผลของการทำสวน มองดีจะเห็นว่ามีผลเกิดขึ้นมาซ้อนกันตั้งสองชั้น
มหายความว่าผลของงานทำสวนนั้นมีสองอย่าง
ผลที่1 ได้ต้นไม้เจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลตามธรรมชาติ
แต่คราวนี้มีผลอีกอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นมาคือผลทมี่มนุษย์สมมุติขึ้น โดยบัญัติจัดตั้งวา
เป็นระบบขึ้นว่าทำสวนแล้วได้เงิน เหตุคือการทำสวน แต่ผลที่ต้องการได้คือเงิน
คนทำสวนอาจทำสวนโดยไม่ต้องการผลตามธรรมชาติ เขาอาจจะทำสวนเพราะต้องการเงิน ซึ่งเป็นผลตามบัญญัติสมมุติ
เราต้องรู้เท่าทันว่าผลสมมุตินี้ ไม่เป็นจริงตามธรรมชาติ จริงไหมที่ว่า ทำสวนเป็นเหตุแล้วได้เงินเป็นผล จริง แต่เป็นจริงตมาความสมมุติของมนุษย์ ไม่มีความจริงแท้อยู่ในธรรมชาติของตัวเอง
คำว่าสมมุติ คือการตกลงร่วมกัน คุณไปสวนไห้ฉันนะเดี๋ยวฉันไห้เงินเดือนละ4000บาท เมื่อตกลงกันอย่างนี้ก็เกิดเป็นกฏเกณฑ์ขึ้นมา กฏเกณฑ์ของมนุษย์เนี่ยมันไม่เป็นจริงไปตามธรรมชาติขึ้นอยู่กับการสมมุติหรือตกลง ถ้าการตกลงหายไป กฏนี้ก็หมดความหมายไปด้วย
ถ้าเราไปทำสวนแล้วเขาไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ สมมุติหายไป กฏเกณฑ์แบบไม่เป็นความจริงนี้ทำเหตุเสียแล้วผลก็ไม่เกิด ทำสวนไปแล้วเงินไม่มา กฏถูกยกเลิกไปแล้ว ฝ่ายที่จะไงนก็ไม่ไห้กฏสมมุตินี้จึงไม่เป็นความจริงแท้ เพราะเป็นของที่มนุษย์ตกลงกันขึ้นมาซ้อนผลที่แท้จริงของธรรมชาติอีกทีนึง
กฏธรรมชาตินี่แน่นอน มนุษย์ยกเลิกไม่ได้และก็หลอกมันไม่ได้ด้วย ส่วนกฏมนุษย์ที่สมมุติกันนี้ มนุษย์เองยกเลิกได้ และหลอกกันได้ด้วย มันจึงยุ่ง และก็จะมีผลต่อความสุขความทุกข์ของเรา ชนิดที่เรียกว่าซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิงเลยทีเดียว และถ้าจับไม่ถูกจุดละก็จะสับสนนุงนังไปหมดทั้งตัวคนและสังคม
ถ้าเราดำเนิชีวิตไปตามกฏของธรรมชาติ เราก็จะได้ความสุขตลอดเวลา เพราะว่าการกระทำของเรานั้น เป็นเหตุนำมาซึ่งผลโดยตรง ทำสวนไป เห็นต้นไม่เจริญงอกงามก็มีความสุขพร้อมไปด้วย
ตัวอย่าง
เราเรียกการทำสวนว่างานชนิดหนึ่ง คนที่จะทำสวนก็ต้องมีจุกมุ่งหมายว่า จะทำสวนทำไม งานคือการทำสวนนั้นเกิดจากมีความมุ่งหมายก่อน ความมุ่งหมายคืออะไร คือต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงามไง เราต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตงดงาม เราจึงไปทำสวน
ไม่ต้องรอให้ถึงถึงจุดมุ่งหมายหรอก แม้กระทั่งระหว่างนั้นถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี งานเดินคืบหน้าไปสู้จุดมุ่งหมาย ไกล้เข้าไปๆ เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ มีความสุขไปเรื่อย
แต่จริงๆนะคนเรานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องซับซ้อน คือเวลาเราทำงานไปๆบางทีก็ลืมสนิทเลยว่าเราไม่ได้ดำเนินชิวิตไปตามกฏธรรมชาติคือถ้างานเราไม่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวงานนั้น ผลที่ได้รับก็ย่อมไม่เป็นความต้องการ ตอนนี้แหละจะเกิดเรื่องที่เป็นปัญหาขึ้น
พูดถึงระบบความสัมพันธืในสังคมที่ซับซ้อน ก็จะมีความก้าวหน้าอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ การสมมติ
เอาละยกตัวอย่างเรื่องการทำสวนอีกที
ลที่ที่แท้ของการทำสวนก็คือได้ต้นไม่ที่เจริญงอกงามแล้วเราก็มีความสุข เพราะมันเป็นไปตามประสงค์ของเราแล้ว แต่ในโลกปัจจุบันนี่สิ มนุษย์พอเจริญขึ้น ก็สร้างระบบทางสังคม ในระบบนี้ มีสิ่งสมมุติเกิดขึ้น สมุมติยังไง ตัวอย่างทำสวนต่อ
ทำสวนเป็นงานชนิดหนึ่งในสังคม เมื่อทำไปแล้วจะได้รับผลตอบแทน คือ เงิน
ทำไห้มองเห็นว่าการได้เงินเป็นผลของการทำสวน มองดีจะเห็นว่ามีผลเกิดขึ้นมาซ้อนกันตั้งสองชั้น
มหายความว่าผลของงานทำสวนนั้นมีสองอย่าง
ผลที่1 ได้ต้นไม้เจริญงอกงาม ซึ่งเป็นผลตามธรรมชาติ
แต่คราวนี้มีผลอีกอย่างหนึ่งซ้อนขึ้นมาคือผลทมี่มนุษย์สมมุติขึ้น โดยบัญัติจัดตั้งวา
เป็นระบบขึ้นว่าทำสวนแล้วได้เงิน เหตุคือการทำสวน แต่ผลที่ต้องการได้คือเงิน
คนทำสวนอาจทำสวนโดยไม่ต้องการผลตามธรรมชาติ เขาอาจจะทำสวนเพราะต้องการเงิน ซึ่งเป็นผลตามบัญญัติสมมุติ
เราต้องรู้เท่าทันว่าผลสมมุตินี้ ไม่เป็นจริงตามธรรมชาติ จริงไหมที่ว่า ทำสวนเป็นเหตุแล้วได้เงินเป็นผล จริง แต่เป็นจริงตมาความสมมุติของมนุษย์ ไม่มีความจริงแท้อยู่ในธรรมชาติของตัวเอง
คำว่าสมมุติ คือการตกลงร่วมกัน คุณไปสวนไห้ฉันนะเดี๋ยวฉันไห้เงินเดือนละ4000บาท เมื่อตกลงกันอย่างนี้ก็เกิดเป็นกฏเกณฑ์ขึ้นมา กฏเกณฑ์ของมนุษย์เนี่ยมันไม่เป็นจริงไปตามธรรมชาติขึ้นอยู่กับการสมมุติหรือตกลง ถ้าการตกลงหายไป กฏนี้ก็หมดความหมายไปด้วย
ถ้าเราไปทำสวนแล้วเขาไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ สมมุติหายไป กฏเกณฑ์แบบไม่เป็นความจริงนี้ทำเหตุเสียแล้วผลก็ไม่เกิด ทำสวนไปแล้วเงินไม่มา กฏถูกยกเลิกไปแล้ว ฝ่ายที่จะไงนก็ไม่ไห้กฏสมมุตินี้จึงไม่เป็นความจริงแท้ เพราะเป็นของที่มนุษย์ตกลงกันขึ้นมาซ้อนผลที่แท้จริงของธรรมชาติอีกทีนึง
กฏธรรมชาตินี่แน่นอน มนุษย์ยกเลิกไม่ได้และก็หลอกมันไม่ได้ด้วย ส่วนกฏมนุษย์ที่สมมุติกันนี้ มนุษย์เองยกเลิกได้ และหลอกกันได้ด้วย มันจึงยุ่ง และก็จะมีผลต่อความสุขความทุกข์ของเรา ชนิดที่เรียกว่าซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิงเลยทีเดียว และถ้าจับไม่ถูกจุดละก็จะสับสนนุงนังไปหมดทั้งตัวคนและสังคม
ถ้าเราดำเนิชีวิตไปตามกฏของธรรมชาติ เราก็จะได้ความสุขตลอดเวลา เพราะว่าการกระทำของเรานั้น เป็นเหตุนำมาซึ่งผลโดยตรง ทำสวนไป เห็นต้นไม่เจริญงอกงามก็มีความสุขพร้อมไปด้วย
Subscribe to:
Posts (Atom)